กุญแจสำคัญของ ลิเวอร์พูล

เสียงกองเชียร์ทีมเยือนที่ โมลินิวซ์ ต่างร่วมร้องเพลง -‘I’m so glad that Jurgen is a Red’- จนนาที 99 ที่ผู้ตัดสินเป่านกหวีดยาว

มันเป็นบทสรุปที่น่าพอใจอย่างยิ่งสำหรับ เดอะ ค็อป 

แต่ชั่วขณะใหญ่ใน 45 นาทีแรกตอนช่วงเที่ยงวันเสาร์ 

ลิเวอร์พูล เริ่มต้นด้วยความเฉื่อยชา และกลับเข้าห้องแต่งตัวด้วยอาการส่ายหัว

อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่ประทับความพอใจมาตลอดนับตั้งแต่โยกจาก ไบรท์ตัน โดนพิษโปรแกรมทีมชาติเล่นงาน กลับมาในสภาพฟิตไม่เต็มถัง

พักครึ่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ จึงตัดสินใจบางอย่างก่อนที่มันจะสายเกินแก้

เขาเลือก หลุยส์ ดิอาซ ลงแทนมิดฟิลด์อาร์เจนติเนี่ยน ซึ่งมันกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

แม้ ดิอาซ เพิ่งกลับมาจากแดนละตินเช่นกัน แต่การวิ่งของเขาสร้างความพะวงให้แก่แนวรับ วูล์ฟส์

ขณะที่อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงคือการนำ โดมินิค โซโบซไล มายืนเป็นมิดฟิลด์ตัวต่ำ

ช่วงครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ผ่านบอลเข้าสู่พื้นที่สุดท้ายได้ถึง 49 ครั้ง ต่างจากครึ่งเวลาแรกที่ทำเพียง 30 หน

นอกจากนี้ หลังออกจากห้องแต่งตัวพักครึ่ง พวกเขายังผ่านบอลสำเร็จ 339 ครั้ง ส่วนครึ่งแรกทำได้แค่ 299 

ซึ่งทั้งหมด โซโบซไล ถือเป็นแกนกลางคนสำคัญ

โซโบซไล เป็นผู้เล่นที่สัมผัสบอลมากที่สุด(118) มากกว่าใครในสนาม 

อีกทั้งตอนครึ่งแรกยังคอยซัพพอร์ต โจ โกเมซ ไม่ให้เจองานหนักเกินไปในยามที่ฝ่ายหลังขยับเข้ามายืนตรงกลางฝั่งขวาตอนทีมครองบอล

ภาพนี้คือการเปรียบเทียบการจับบอลของ โซโบซไล ตอนครึ่งแรกกับครึ่งหลัง โดยที่รูปขวาจะเห็นได้ว่าเขามารับบอลตรงตำแหน่งที่ต่ำมากกว่าเดิม

มิเพียงเท่านั้น โซโบซไล ผ่านบอลเข้าสู่พื้นที่แดนสามรวมทั้งหมด 20 ครั้ง เป็นตัวเลขมากสุดในทีมลิเวอร์พูล

"เขามีอิทธิพลต่อเกมของเราอย่างมาก" คล็อปป์ เผยถึงดาวเตะวัย 22 ปี

"เขาเล่นได้ไม่ดีเท่าไหร่ตอนครึ่งแรก แต่เขายังอยู่ในเกมได้ ซึ่งนั่นคือจุดเด่นที่สุดของเขา เขาฉลาดเอามาก ๆ"

.

.

.

หากความนิ่งของ โซโบซไล เป็นหนึ่งในปัจจัยการคัมแบ็กสู่ชัยชนะ 

ความพยายามและพลังของ ดาร์วิน นูนเญซ ก็เป็นอีกปัจจัยเช่นกัน

หลังจากพังประตูตีเสมอโดย โคดี้ กัคโป การลงมาของดาวยิงทีมชาติอุรุกวัย ตอนนาที 56 ปลุกให้ ลิเวอร์พูล กลับมามีชีวิตชีวา

แม้ว่าเขาจะทำประตูไม่ได้ แต่การวิ่งแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเป็นการช่วยเปิดช่องให้คนอื่น 

ถ้าสัปดาห์ก่อน ดาร์วิน ไม่ต้องไปเล่นเกมทีมชาติในทวีปอเมริกาใต้ล่ะก็ มีโอกาสสูงมาก ๆ ที่เขาจะได้เป็นตัวจริงในเกมนี้ 

ดาร์วิน กลายเป็นคนที่บรรดาคู่แข่งรับมือได้ยาก และแค่มีเขาอยู่ในสนามก็สามารถเป็นตัวเปลี่ยนเกมได้ 

แน่นอนว่าถ้าเขามีประตูจะยิ่งดีมากขึ้นกว่านี้อีก

ถึงกระนั้น สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ทำประตูและพลิกสถานการณ์ได้นั้นอาจจะเป็นเรื่องความยืดหยุ่น

โซโบซไล กับ โจนส์ ลงไปยืนลึกกว่าเดิมจนช่วยให้ 2 ฟูลแบ็กมีพื้นที่ว่างในการดันขึ้นหน้า และ ดาร์วิน ก็ทำให้ วูล์ฟส์ ต้องพะวงกับความสามารถในการเล่นกับบอล

ตำแหน่งการเคลื่อนที่ของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เป็นการเข้าทำที่สวยงาม

แรกเริ่มแบ็กซ้ายสกอตช์ ยืนต่ำเพื่อคอยคุมเกมรับตอนทีมเล่นลูกเตะมุม 

เมื่อ โชเซ่ ซา รับบอลได้แล้วพยายามเปิดยาวเพื่อเล่นเร็ว แต่ผิดพลาด 

"ร็อบโบ้" ชิงบอลกลับมาครองไว้จนเป็นที่มาของประตูแซงนำ

จากนั้น แทนที่จะโยกไปทางด้านซ้าย เขากลับเลือกวิ่งทะลวงไปตรงกลาง และผ่านบอลให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่อยู่ฝั่งขวา

ต่อมา ร็อบโบ้ ก็วิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ ฝ่าแนวรับของ วูล์ฟส์ ได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะรับบอลกลับมาจาก ซาลาห์ และยิงแบบสุดสวยจากจุดที่แทบไม่เหลือมุมให้ยิงด้วยเท้าซ้าย

"แน่นอน ถ้าเป็นในครึ่งแรกน่ะเขาจะไม่ได้อยู่ในจุดนั้นแน่ ๆ" คล็อปป์ ระบุ 

"เรากลายเป็นทีมที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก ๆ" 

และสุดท้าย เรื่องความยืดหยุ่นถือเป็นความแตกต่าง

ฟอร์มของ โรเบิร์ตสัน เป็นการสรุปถึงทุกอย่างที่ดีเกี่ยวกับ ลิเวอร์พูล 

มันเป็นนัดที่ 200 ของเขาในบทบาทกัปตันทีม

ที่ผ่านมาพวกนักเตะดาวรุ่งอย่างเช่น จาเรลล์ ควอนซาห์, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และ โจนส์ ต่างได้ประโยชน์จากการชี้นำของ โรเบิร์ตสัน 

และเกมที่ โมลินิวซ์ ก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน เขาคอยบงการแผงหลังอย่างต่อเนื่องและปลุกเร้าให้คนอื่น ๆ โชว์ฟอร์มที่ดีออกมาให้ได้

เมื่อถึงคราวจำเป็นแล้วนั้น โรเบิร์ตสัน จะกลายเป็นแรงผลักดันของทีมและปลุกใจคนอื่นได้

.

.

.

ในครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ได้จับบอลในกรอบเขตโทษของคู่แข่ง 32 หน ตรงข้ามกับในครึ่งแรกที่ทำไปเพียง 10 ครั้ง 

ลิเวอร์พูล จบเกมด้วยการมีจังหวะลุ้นประตู 16 หน ขณะที่ วูล์ฟส์ มีจังหวะยิง 11 ครั้ง

ความยอดเยี่ยมของพวกเขาเกิดขึ้นหลังจากเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อนแล้วแซงกลับมาชนะได้ เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในเกมกับ บอร์นมัธ และ นิวคาสเซิ่ล

ในการให้สัมภาษณ์หลังจบเกม คล็อปป์ ยังพูดแบบใจเย็น 

เขาบอกเชิงเป็นนัยว่าการเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมันมีความสำคัญพอ ๆ กับการยิงถล่มตั้งแต่ต้นเกมแล้วค่อยปิดเกมในภายหลัง

แต่มันจะเป็นอย่างนั้นได้อีกนานแค่ไหน? 

ใน 4 นัดหลังสุด ลิเวอร์พูล เสียประตูไปก่อน 3 เกม แต่จบเกมด้วยชัยชนะทั้งหมด 

แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยตามหลังหลายลูกจนถึงขนาดที่ว่าจะไม่มีทางกลับมาสู่เกมได้ 

แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีปัญหาในเกมรับ เสียประตูง่ายไป และดูเล่นแบบไม่มั่นคงมากเท่าที่ควร

เป็นเรื่องที่น่าห่วง ทว่าท้ายสุด คล็อปป์ หาทางทำให้มันดูดีได้ต่อให้จะขาดนักเตะในทีมชุดใหญ่ไปบ้างก็ตาม

ความสามารถในการหาทางออกและเปลี่ยนเกมได้ก่อนจะสายเกินไปยังเป็นเรื่องสำคัญ 

จนถึงตอนนี้ ลิเวอร์พูล ชนะ 4 เกมและเสมอ 1 หนจากการลงเล่นทั้งหมด 5 นัด 

นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีพัฒนาการที่ดี แต่บททดสอบที่หนักกว่ากำลังรอพวกเขาอยู่ในเกมต่อ ๆ ไป

เรียบเรียงจาก The Athletic

HOSSALONSO


ที่มาของภาพ : GETTY IMAGE
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport