ไม่บ่อยที่ ลิเวอร์พูล แพ้ราบคาบ..แต่ไม่ใช่จุดจบ

มีไม่บ่อยเลยนะครับที่เราจะได้เห็นลิเวอร์พูลแพ้ในลักษณะนี้

แพ้ราบคาบ หมดจด ไม่มีอะไรให้คาใจ

มันคือ 90 นาทีที่อาร์เซน่อลแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเหนือกว่า เล่นฟุตบอลที่ดีกว่า สมควรเป็นผู้ชนะมากกว่า

รูปเกมสะท้อนผลการแข่งขันอย่างซื่อสัตย์ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ทีมที่เล่นดีกว่าชนะ ทีมที่เล่นแย่กว่าแพ้

ไม่มีการตัดสินค้านสายตาหนักๆ หรือเป็นปัญหาให้ถกเถียง ใบเหลือง-แดงของ อิบราฮิมา โกนาเต้ ไม่ใช่จุดเปลี่ยนหรือจุดพลิกผันอะไร เขาสมควรได้รับมันแล้ว และว่ากันตามตรงต่อให้ยังมีผู้เล่นอยู่ครบทั้ง 11 คนในสนาม ก็ไม่มีความรู้สึกวางใจใดๆ เลยว่าจะมีลุ้นยิงตีเสมอได้

ผลงานมาสเตอร์พีซของอาร์เซน่อลในเกมนี้มี 2 ช่วงในสายตาของผม

1 ช่วงตลอดครึ่งแรกก่อนจะเสียประตูตีเสมอตอนทดเวลา

2 ช่วงยี่สิบกว่านาทีสุดท้ายของเกม หลังทีมได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1

ในเรื่องของแผนการเล่น ทั้งสองทีมคือบอลคอนโทรล ใช้แดนกลางเป็นพลังขับเคลื่อนและกำหนดทิศทาง เกมนี้อาร์เซน่อลดูน่าสนใจตั้งแต่ส่ง จอร์จินโญ่ ลงสนามมาแล้ว

การบาดเจ็บของ กาเบรียล เชซุส ทำให้อาร์เซน่อลไม่มีกองหน้าตัวเป้าอาชีพ มิเกล อาร์เตต้า เลือกแก้ด้วยการใส่ ไค ฮาแวร์ตซ์ ในบทบาทฟอลส์ไนน์ และหย่อน จอร์จินโญ่ ลงมาเป็นกองกลางเล่นร่วมกับ ดีแคลน ไรซ์ และ มาร์ติน โอเดการ์ด ปีกขวา-ซ้ายยังเหมือนเดิม บูกาโย่ ซาก้า และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่

มุมมองเกมของ จอร์จินโญ่ กว้างและลึก เขาอาจไม่ใช่ชื่อที่ชวนผวาอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ จู๊ด เบลลิงแฮม หรือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่คุณภาพของเขาคับแก้ว เลือกเล่นในจังหวะที่ถูก ช้าได้ เร็วดี และมีการผ่านบอลที่ทรงประสิทธิภาพ

บอลถ่ายไปมาซ้ายขวา ถ้าเห็นช่องข้างหน้า จอร์จินโญ่ ไม่ลังเลที่จะยัดมันขึ้นไปเข้าเป้า เปลี่ยนจากเกมทางกว้างเป็นเกมทางลึกในฉับพลัน สร้างโอกาสทำประตูให้ทีมทันที

ยังไม่รวมถึงการวิ่งไปรับบอลเอามาแจกจ่ายให้เพื่อน เป็นตัวเชื่อมที่ดี คุมจังหวะเกมด้วยความเยือกเย็น เขาคือหนึ่งในเหตุผลที่ ดีแคลน ไรซ์ เลือกมาเล่นให้อาร์เซน่อล เพราะต้องการเรียนรู้จากคนที่เก่งกว่าเพื่อพัฒนาตัวเองเป็นนักฟุตบอลที่ดีขึ้นไปอีก

การผ่านบอลเข้าพื้นที่ฮาล์ฟสเปซ (พื้นที่แนวยาวที่อยู่ระหว่างริมสนามกับหัวกะโหลกเขตโทษ) ให้มาร์ติเนลลี่ลูกนั้นในครึ่งหลังคือตัวอย่างของบอลอันตรายจากจอร์จินโญ่

กำลังผ่านบอลเท้าต่อเท้าอยู่ดีๆ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เผลอเปิดพื้นที่ระหว่างตัวเองกับโกนาเต้ให้นิดเดียว บอลจากจอร์จินโญ่ทะลุเข้าเขตโทษได้เลย และจังหวะนั้นก็น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจเปลี่ยนตัว ยอมถอด เทรนต์ ออกเพื่อโยก โจ โกเมซ จากฝั่งซ้ายมาเล่นแบ๊กขวาแทน

ในเกมนี้ผมชอบ จอร์จินโญ่ ที่สุด และยกให้เขาเป็นแมนออฟเดอะแมตช์ ในเกมที่มีนักเตะปืนใหญ่เล่นได้โดดเด่นหลายคน

กุญแจสำคัญของอาร์เซน่อลคือการคุมจุดยุทธศาสตร์แดนกลางได้ด้วยการเล่นคู่กลาง 2 คู่ ฮาแวร์ตซ์ ถอยลงมาช่วย โอเดการ์ด คู่หนึ่ง และ ไรซ์ กับ จอร์จินโญ่ อีกคู่หนึ่ง

ลิเวอร์พูลอาจจะมี ดีโอโก้ โชต้า ลงมาช่วย เคอร์ติส โจนส์, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ ไรอัน กราเฟนแบร์ค ที่ได้เล่นแทน โดมินิก โซโบสไล ที่ไม่สมบูรณ์ แต่ความตื่นตัว ความพร้อม การเข้าหาบอล การเก็บบอลจังหวะสอง การอ่านเกม ความยืดหยุ่น การประสานงาน ตกเป็นรองแดนกลางของเจ้าถิ่นอย่างเห็นได้ชัด

กองกลางลิเวอร์พูลสู้ไม่ได้ นี่คือภาพที่ออกมาในครึ่งแรก การไล่บีบกดดันของนักเตะปืนใหญ่ทำได้เข้มข้นมาก แม็ค อัลลิสเตอร์ คือตัวเป้าที่ขุนพลกันเนอร์สจ้องเล่นงานเพราะเป็นจุดเริ่มต้นในการตั้งเกมของหงส์แดง

ถ้าคิดช้า จับบอลห่างตัว หรือลังเลแม้สักเล็กน้อย คุณจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากทันทีเพราะนักเตะอาร์เซน่อลรุมเข้ามาเร็ว แนวรับก็อ่านเกมช่วยรอดักบอลจังหวะสองที่อาจจะวางยาวข้ามความเข้มข้นตรงกลางสนาม เก็บเอาบอลมาทำเกมบุกต่อเนื่อง

ปกติแล้วถ้าลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ เราจะได้เห็นความหลากหลายในการเข้าทำ แต่เกมนี้เราแทบไม่ได้เห็นอะไรอย่างนั้น คู่เซนเตอร์แบ๊กแทบไม่มีโอกาสได้วางบอลยาวเปลี่ยนจังหวะสั้นยาวฉับพลัน ไม่ได้เห็นการขยับเข้ามาทำเกมเป็นอินเวิร์ตฟูลแบ๊กของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่ได้เห็นการประสานงานที่อันตรายของบรรดาตัวรุก

อาร์เซน่อลเก็บกินหมด กลายเป็นทีมปืนใหญ่ที่แสดงให้เห็นความหลากหลาย ไอเดียในการเข้าทำ จังหวะที่ ดาวิด รายา คว้าบอลได้แล้ว มาร์ติเนลลี่ วิ่งสปรินท์นำให้เห็นเป็นจุดเริ่มต้นของเกมโต้กลับที่ รายา ขว้างบอลเร็ว มาร์ติเนลลี่กระชากยาวไปถึงเส้นหลังก่อนจะโยนให้ บูกาโย่ ซาก้า โหม่งหลุดกรอบหวาดเสียว

เป็นเกมโต้กลับที่อาร์เซน่อลก็จ้องอยู่ ผสมผสานไปกับการทำเกมบุกจากทุกทาง มีกองกลางเป็นเครื่องยนต์ใหญ่ ทั้งแจกจ่ายบอลออกตัวข้างและการเจาะเข้าทำด้วยบอลสั้นรวดเร็ว

การวิ่งโดยไม่มีบอลของ ฮาแวร์ตซ์ ยังคงฉลาดและสร้างพื้นที่ให้เพื่อน ดาวเตะเยอรมันไม่เด่นหรอกเวลามีบอล มีโอกาสทองก็ยังยิงทิ้งยิงขว้างบ่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาต้องยกระดับคุณภาพตัวเองต่อไป แต่เหตุผลที่เขายังได้ลงเล่นก็เพราะความเข้าใจเกมที่เล่นเป็นทีมได้เยี่ยม

ผลงานมาสเตอร์พีซในครึ่งแรกของอาร์เซน่อลถูกรบกวนเล็กน้อยด้วยประตูตีเสมอของลิเวอร์พูล ความลังเลระหว่างกันเพียงนิดเดียวของ วิลเลียม ซาลิบา กับ รายา ทำให้ความไม่ยอมแพ้ของ หลุยส์ ดิอาซ ได้ผลตอบแทนเป็นประตู

เป็นความผิดพลาดชนิดที่นักเตะปืนใหญ่คงจะอยากเขกกะโหลกตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ทำให้เห็นว่าพวกเขาเรียนรู้ความผิดพลาดและไม่ยอมปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีก

มันคือผลงานมาสเตอร์พีซที่สองในเกมนี้ของพวกเขา

หลังได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจากความผิดพลาดของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่เหมือนแถมให้คืน อาร์เซน่อลก็ไม่ยอมพลาดง่ายๆ แบบประตูตีเสมอในครึ่งแรกอีกเลย

การเล่นเกมรับในช่วง 20 นาทีสุดท้ายของอาร์เซน่อลได้รับคำชมมาก นิ่ง มั่นคง ไม่ตื่นตระหนก ไม่ปั่นป่วนจนเสียกระบวน ทุกคนช่วยกันไล่ปิดพื้นที่ในแดนตัวเองจนแทบหาช่องเจาะไม่เจอ

ลิเวอร์พูลที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องการพลิกสถานการณ์โกงความตายหลายต่อหลายครั้งในฤดูกาลนี้ไม่มีวี่แววจะทำอันตรายใดๆ ได้ ไม่สามารถทำเกมบุกบดขยี้เพิ่มความกดดันมากขึ้นๆ จนทำนบเกมรับคู่ต่อสู้พังทลายเหมือนที่ผ่านๆ มาได้เลย

นับจากนาที 67 อาร์เซน่อลได้ประตูนำ 2-1 ไปจนกระทั่งจบเกม ลิเวอร์พูลได้ยิงอีกแค่ 3 ครั้งเท่านั้นและไม่มีครั้งไหนตรงกรอบเลย

เป็นเกมที่นักเตะลิเวอร์พูลเล่นต่ำกว่ามาตรฐานกันทุกคน สร้างอิทธิพลเหนือคู่แข่งไม่ได้ อาร์เซน่อลยอมให้ทีมเยือนผ่านบอลแต่ปิดโอกาสส่งบอลเข้าพื้นที่อันตรายอย่างเด็ดขาด

พวกเขายิ่งเน้นมากกว่าเดิมเสียอีกหลังได้ประตู 2-1 คล้ายทุกคนท่องไว้ในใจว่าจะไม่ยอมพลาดง่ายๆ แบบเดิมอีก

ผมชื่นชมสติที่มั่นคงของนักเตะอาร์เซน่อลในการรักษาสกอร์นำ 2-1 มันดูแข็งแรงเหมือนกำแพงใหญ่ ยิ่งเวลาผ่านไปความมั่นใจก็ยิ่งมากขึ้น

75 นาที.. 80 นาที.. 85 นาที.. 90 นาที อาร์เซน่อลไม่แสดงอาการยุบหรือปั่นป่วนวุ่นวายให้เห็นเลย การ์ดยังแน่นไร้ช่องโหว่ รักษาระยะห่างของพื้นที่ระหว่างแดนได้สมบูรณ์

คล็อปป์เองก็พยายามแก้เกม การเปลี่ยนตัวรวดเดียว 3 คนก่อนครบชั่วโมงทำไปเพื่อเพิ่มความเหนียวแน่นในพื้นที่แบ๊กขวาด้วยโกเมซ และเติมความสดในแดนกลางกับแดนหน้าด้วย ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ กับ ดาร์วิน นูนเญซ

ช่วงห้านาทีสุดท้ายยังส่ง ติอาโก้ อัลกันตาร่า ลงสนามในรอบ 9 เดือน ถอดโกเมซออก ถอย ดิอาซ ลงไปเล่นเป็นแบ๊กขวาจำเป็น

เพิ่มจำนวนผู้เล่นในเกมบุก แลกกับความเสี่ยงในพื้นที่เกมรับทางขวา สุดท้ายการปรับนี้ไม่ได้ผลและยังถูกลงโทษด้วยประตูฝัง 3-1 ที่มาจากพื้นที่นั้น

เอลเลียตต์ กับ ดิอาซ เข้าพรวดหยุด เลอันโดร ทรอสซาร์ ไม่อยู่ และดาวเตะเบลเจียนกระชากเข้าไปยิงจบภารกิจ

เป็นความพ่ายแพ้ที่ไม่มีอะไรติดค้าง ลิเวอร์พูลแพ้จริงๆ ต่อทีมที่เล่นดีกว่า เหนือกว่า

สถิติทั้งหลายในเกมนี้ชี้ไปที่อาร์เซน่อลทั้งหมด เตะไปถึงนาทีที่ 42 ลิเวอร์พูลเพิ่งจะเอาบอลเข้าเขตโทษอาร์เซน่อลได้แค่ 4 ครั้ง ขณะที่ทีมปืนใหญ่ทำไปแล้ว 13 ครั้ง จบเกมโอกาสยิงอาร์เซน่อลดีกว่า 15 ต่อ 10 ครั้งและยิงตรงกรอบห่างกันในระดับ 7 ต่อ 1

ค่า xG หรือการคำนวนว่าทีมควรจะยิงได้กี่ประตูยิ่งไปกันใหญ่ มันขาดกันถึง 3.52 ประตู ต่อ 0.41 ประตู หรือพูดง่ายๆ อาร์เซน่อลน่าจะชนะ 3-0 หรือ 4-1

ทั้งตัวเลขสถิติและการตอบสนองต่อเกมของนักเตะในสนาม ทุกอย่างที่ปรากฏออกมานั้นชัดเจนว่า อาร์เซน่อล คู่ควรแล้วกับการเป็นผู้ชนะ

ในวันที่ชนะ เราพูดได้ว่าคู่แข่งสู้ลิเวอร์พูลไม่ได้

อาร์เซน่อล ก็เคยสู้ลิเวอร์พูลไม่ได้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เคยสู้ลิเวอร์พูลไม่ได้

เพราะฉะนั้น ในวันที่แพ้ เราก็ควรยอมรับมันและยกย่องคู่แข่งเช่นกัน มันคือเกมที่ลิเวอร์พูลสู้ไม่ได้ เล่นแย่กว่า และสมควรแพ้

มันก็แค่นั้น แค่หนึ่งเกมที่ผ่านไป แพ้วันนี้เพื่อชนะวันหน้า ชนะวันนี้เพื่อที่อาจจะแพ้ในวันหน้าเช่นกัน สำคัญคือลืมความพ่ายแพ้ให้เร็ว เก็บเกี่ยวข้อบกพร่องมาแก้ไขให้ดีขึ้น แล้วเดินหน้าต่อไป

อีกไม่กี่วันเกมใหม่ก็จะมาถึงแล้ว ไม่มีเวลาคร่ำครวญกับมันมากนักหรอก

หลังจากนี้เหลืออีก 15 เกมจะจบฤดูกาล แพ้เกมนี้ไม่มีอะไรต้องเสียใจ ตรงกันข้ามถ้านำมันมาเป็นพลังกระตุ้น เตะตูดตัวเองว่า เฮ้ย มึงอยู่เฉยไม่ได้นะ ต้องกระชากทุกอย่างให้กลับมาอีกครั้งนะ มันอาจจะเป็นความพ่ายแพ้ที่มีประโยชน์ก็ได้

เพราะนี่เพิ่งจะเป็นความปราชัยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้วเท่านั้นเอง

นักเตะก็ทยอยกลับมากันพร้อมหน้า วาตารุ เอนโด กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เสร็จภารกิจกับทีมชาติแล้ว ตัวที่เจ็บก็ฟิตสมบูรณ์ดีแล้ว มีนักเตะเลือดใหม่พร้อมเป็นอะไหล่สำคัญ

แดนนี่ เมอร์ฟี่ อดีตนักเตะลิเวอร์พูลที่เป็นนักวิจารณ์เกมใช้คำว่า "This one defeat is not the end of the world"

ใช่แล้ว.. มันไม่ใช่จุดจบสักหน่อย โลกไม่ได้แตกสลาย ฤดูกาลไม่ได้พังยับเยินแตกเป็นเสี่ยงๆ เอากลับมาไม่ได้เสียเมื่อไหร่

ก็แค่ความพ่ายแพ้หนึ่งเกม คล็อปป์กับลูกทีมของเขาเลือกเก็บสิ่งที่เป็นประโยชน์เอาไว้และโยนผลการแข่งขันทิ้งไม่ให้กวนใจไปเรียบร้อย แล้วเราแฟนบอลยังจะแบกมันไว้ทำไม

คร่ำครวญพอเป็นพิธี เลิกหาคนผิดแบบเอาเป็นเอาตาย เราชนะเป็นทีม แพ้เป็นทีม และคำว่าทีมในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงแค่ผู้จัดการทีมและนักฟุตบอล

ตังกุย


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport