ลิเวอร์พูล กับบทเรียนที่แก้ไขไม่ได้

บทเรียนที่ ลิเวอร์พูล ควรจะเรียนรู้จากเกมบอลถ้วย เอฟเอ คัพ กลับกลายเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

ผลลัพธ์จากโอกาส 15 ครั้งตลอดช่วงเวลาครึ่งแรก แปรเปลี่ยนได้แค่หนึ่งประตู

"สิ้นเปลือง" ใช้คำนี้ได้ ใครจะว่าเกินไป ก็ไม่ว่ากัน...

ค่าความเสียหายเกิดขึ้น เมื่อครึ่งหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด พลิกสกอร์นำ 2-1 

ขณะกำลังสร้างเกมรุกจากหลังบ้าน จาเรลล์ ควอนซาห์ ก่อความผิดพลาด และเหยียบซ้ำด้วยลูกยิง ค็อบบี้ เมนู

จุดโทษของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กอบกู้หนึ่งแต้มกลับจาก โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้ก็จริง แต่อีก 7 นัดที่เหลือต่อจากนี้ 

ทุกอย่างมันไม่ได้อยู่ในมือ ลิเวอร์พูล อีกแล้ว

...

ฤดูกาลนี้ จาเรลล์ ควอนซาห์ คือเพชรที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เจียระไนจนงดงาม

ย้อนไปหนึ่งปีเศษ ๆ ควอนซาห์ ยังเป็นแค่นักเตะตัวยืมอยู่ ลีก ทู กับ บริสตอล ซิตี้

ควอนซาห์ ก้าวขึ้นมารวดเร็ว ผ่านบททดสอบยาก ๆ มาหลายนัด 

จนกระทั่ง เขาตัดสินใจผิดพลาดที่พยายามผ่านบอลให้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์

มันเป็นความผิดของเขามั้ย... ก็ต้องบอกว่า ใช่

แต่คงไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ที่จะตำหนิจนเลยเถิด 

ความผิดพลาดของเขาไม่สมควรจะถูกตีตราว่าทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้แชมป์ลีก

อีก 7 เกมข้างหน้าต่างหาก คือตัวตัดสินว่า แชมป์ พรีเมียร์ลีก จะไปอยู่ที่มือใคร

"ยืดอกเข้าไว้ไอหนุ่ม" คือประโยคที่ผมอยากบอกเขา

...

กับทีมอื่นที่ไม่ใช่ แมนฯ ยูไนเต็ด 

เฉพาะเกม พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล สร้างโอกาสทำประตูต่อ 90 นาทีที่ตัวเลข 19.6 ครั้ง แล้วได้มา 2.4 ลูก

ขณะที่การเจอกับ แมนยู สองนัด ตัวเลขสร้างโอกาสอยู่ที่ 31 หน/90 นาที (34 กับ 28) แต่ได้มาแค่ 1 ประตู/90 นาที

"เราน่าจะชนะ เราสร้างปัญหาให้ตัวเอง เราควบคุมเกมได้ แล้วได้ประตูก่อน และสมควรได้ประตูเพิ่ม" 

"พวกเขาไม่ได้ยิงเลยในครึ่งแรก แต่เราก่อความผิดพลาด และพวกเขาใช้มันได้ในทันที มันเป็นการลงโทษที่เด็ดขาดจาก บรูโน่"

"จากนั้นสนามก็มีเสียงดังกระหึ่ม และพวกเขาได้ประตูเพิ่มอีก มันเป็นประตูที่มหัศจรรย์"

เจอร์เก้น คล็อปป์ บอกแบบนั้น แต่เขาก็ยังมองโลกในแง่ดีต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

"เรากลับมาสู่เกมได้ เรามีโอกาสก่อนที่พวกเขาจะได้ประตู มันเป็นหนึ่งแต้มที่ แมนฯ ยูไนเต็ด"

"ผมไม่ได้ดีใจ แต่มันโอเค คุณต้องรับในสิ่งที่เกิดขึ้น หากเราเด็ดขาดกว่านี้ เราจะชนะที่นี่"

เจาะรายละเอียดไปยังแต่ละคน กับการเจอ แมนยู คนที่ได้โอกาสทำสกอร์(ต่อ 90 นาที) มากสุดคือ โคดี้ กัคโป 7.1 รองมาคือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ 6 ตามด้วย หลุยส์ ดิอาซ 4.8 และ ดาร์วิน นูนเญซ 4.3

ซึ่งผลประกอบการมีแค่ ซาลาห์ (0.5) กับ ดิอาซ (0.5) เท่านั้นที่ทำประตูได้

"ผมไม่ได้โกรธนักเตะ แต่ในเกมแบบนี้ผมไม่ต้องการให้สิ่งที่เห็นเกิดขึ้น เราถอยลงมาต่ำเกินไป พวกเขามีโอกาสหลายหน"

ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปฟูมฟายกับความหลัง สิ่งที่จะทำได้ตั้งแต่ตอนนี้คือมองไปข้างหน้า

"เราจะเล่นในบ้านกับ อตาลันต้า เป็นเกมที่ยาก แต่มันเป็นเกมเหย้า เราเหลือเกมเหย้าอีกไม่มาก"

"ทีมที่ได้แชมป์ลีกในท้ายที่สุดมีความเหมาะสม เรายังมีลุ้น และผมโอเคอยู่" คล็อปป์ เผย

...

หากมีใครสักคนที่สามารถเดินออกจาก โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แบบภาคภูมิใจอย่างเต็มที่ได้แล้วล่ะก็ แน่นอนว่าคน ๆ นั้นก็คือ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์

ดาวเตะวัย 21 ปีโดนเปลี่ยนลงมาในตอนที่ทีมตามหลังอยู่ 1-2 และนอกจากจะเรียกจุดโทษให้ทีมจนนำไปสู่ประตูตีเสมอได้แล้ว เขายังมีส่วนอย่างมากในการเปลี่ยนทิศทางของเกมได้ด้วย

แม้ว่า เอลเลียตต์ อายุยังน้อย แต่ดูเหมือนว่าเขาเข้าใจถึงการผสมกันระหว่างความอดทนกับความอันตรายในการครองบอลได้ดีกว่าเพื่อนร่วมทีมของเขาทุกคน แถมยังไม่เสียบอลง่ายจนเกินเหตุ

หาก ลิเวอร์พูล เล่นด้วยแบบนั้นตั้งแต่นาทีแรก พวกเขาก็คงจะชนะเกมนี้แบบสบาย ๆ ไปแล้ว

HOSSALONSO


ที่มาของภาพ : getty image
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport