หนึ่งในเกมไร้ที่ติ..หนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้

มันเป็นหนึ่งในเกมไร้ที่ติ.. หนึ่งในเกมที่ดีที่สุดในฤดูกาลนี้ของลิเวอร์พูล

ถึงนาทีที่ 68 หลังจากทีมเพิ่งทำประตูนำห่าง 3-0 ได้ไม่นาน เยอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนตัวรวดเดียว 4 คน

โกดี้ คักโป, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ลงสนามแทน ดีโอโก้ โชต้า, โจ โกเมซ, โดมินิก โซโบสไล และ คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์

เสียงปรบมือดังสนั่น ยาวนาน

แล้วเสียงเพลงนั้นก็กระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง

"ONE Conor Bradley!

"There's only one Conor Bradley

"One Conor Braddd-leyyyyy

"There's only one Conor Bradley"

เพียงแค่ 11 วันนับตั้งแต่ลงประเดิมสนามในพรีเมียร์ลีกให้ลิเวอร์พูลเป็นครั้งแรกในเกมถล่มบอร์นมัธ 4-0 (ทำ 1 แอสซิสต์ให้โชต้า) แบร๊ดลี่ย์ แบ๊กขวาวัย 20 ปีชาวไอร์แลนด์เหนือก็มีเพลงของตัวเองที่เดอะค็อปร้องให้เป็นที่เรียบร้อย

1 ประตู 2 แอสซิสต์ในเกมถล่มเชลซีเมื่อคืนวันพุธทำให้ผลงานของเขาซีซั่นนี้ลงเล่น 9 เกมทุกรายการ (ตัวจริง 6 เกม) ยิง 1 จ่ายอีก 5 (จ่าย 3 ในลีก.. จ่าย 2 ในเอฟเอ คัพ)

เขาอาจจะเข้ามาอยู่กับทีมตั้งแต่ปี 2019 อาจจะได้ลงเล่นให้ทีมไปแล้วตั้งแต่ปี 2021 แต่เดอะค็อปเพิ่งจะรู้จักเขาเป็นวงกว้างอย่างจริงๆ จังๆ ในเกมพรีเมียร์ลีกที่ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงพบกับ บอร์นมัธ เมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมานี้เอง

นั่นคือเกม debut หรือประเดิมสนามในพรีเมียร์ลีกของเด็กหนุ่มวัย 19 หลังได้ทยอยลงสัมผัสเกมมาก่อนแล้วในยูโรปา ลีก และ ลีก คัพ

83 นาทีที่ลงเล่นในเกมนั้น เขาทำแอสซิสต์ให้โชต้ายิงประตู 3-0 สี่นาทีก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกท่ามกลางเสียงปรบมือจากแฟนบอลลิเวอร์พูลที่ลงใต้ตามไปเชียร์ที่ไวทัลลิตี้ สเตเดี้ยม

3 วันต่อมา ลงเล่นเต็มเกมในลีก คัพ รอบตัดเชือกนัดที่สองกับฟูแล่ม ผลเสมอ 1-1 ส่งให้ทีมไปเวมบลีย์

อีก 4 วันให้หลัง ลงเล่นเต็มเกมในเอฟเอ คัพ รอบสี่กับ นอริช ซิตี้ ที่แอนฟิลด์ ทำ 2 แอสซิสต์ให้ ดาร์วิน นูนเญซ กับ ไรอัน กราเฟนแบร์ค คว้าแมนออฟเดอะแมตช์ในเกมถล่ม 5-2

แล้วก็มาถึงเกมนี้ อีกเพียงแค่ 3 วันหลังความชื่นมื่นวันนั้น เขายังคงได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวจริงแม้ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะสมบูรณ์ดีแล้ว ได้เล่นต่อหน้าเดอะค็อปตั้งแต่นาทีแรกอีกหน

4 เกมในรอบ 11 วันเปลี่ยนชีวิตของ คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์..

เขาสับไกยิงประตูแรกในสีเสื้อหงส์แดงและจัดอีก 2 แอสซิสต์ให้ โชต้า กับ โซโบสไล ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเลยที่เสียงปรบมือดังสนั่นจะมอบให้ตอนเขาถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม

รวมทั้งเสียงเพลงนั้น.. "ONE Conor Bradley!"

มีเพลงเชียร์ของตัวเองเรียบร้อยหลังเพิ่งแนะนำตัวให้ได้รู้จักอย่างจริงๆ จังๆ แค่ 11 วัน

"มันเหมือนอยู่ในความฝันเลยครับ ผมไม่อยากเชื่อเลย" แบร๊ดลี่ย์ ยอมรับหลังจบเกมที่เขาเป็นแมนออฟเดอะแมตช์ต่อเนื่อง

ผมมองไปในทีมลิเวอร์พูลเวลานี้ รู้สึกยิ่งขอบคุณ เยอร์เก้น คล็อปป์

มันเป็นทีมที่เขาสร้างขึ้นมาโดยแท้

มอบโอกาสให้ทุกคน มอบความจริงใจให้ทุกคน มอบความรักให้กับเด็กๆ ของเขาทุกคน

ใครพร้อมก็แสดงออกมาให้เห็นได้เลย สนามซ้อมทีมชุดใหญ่กับทีมเยาวชนอยู่ใกล้ๆ กันนี้เอง ถ้าผมเห็นว่าผ่าน เดี๋ยวเจอกันในสนามจริง เกมจริง ทีมชุดใหญ่จริงๆ

อย่างที่เขียนไปวันก่อน ผมมองเห็นด้านบวกของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้มากมาย ทั้งนักเตะใหม่ นักเตะเก่าที่พิสูจน์ตัวเองได้ และนักเตะดาวรุ่งที่ถูกดึงขึ้นมา

แล้วยิ่งตลอด 90 นาทีของเกมเมื่อคืนวันพุธ มันก็ยิ่งชัด นี่คือผลงานชิ้นโบแดงชนิดที่ว่าใครใหญ่มาจากไหนถ้าต้องเจอกันก็ต้องเหนื่อยหน่อยนะ

ลิเวอร์พูลลงเตะโดยที่รู้ว่าอาร์เซน่อลชนะไปแล้วตั้งแต่คืนก่อน ขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ออกนำเบิร์นลี่ย์ 2-0 ในครึ่งแรก สามคะแนนสดใสสำหรับทีมเรือใบสีฟ้า

โจทย์จึงต้องจริงจังยิ่งกว่าเดิม เพียงแค่ลุ้น 3 แต้มไม่พอ แต่มันคือ "ต้อง" 3 แต้มเท่านั้น แม้คู่ต่อสู้จะเป็นทีมใหญ่อย่างเชลซี

ผลที่ออกมานั้นเกินคาด มันกลายเป็นเกมเอ๊าต์คลาส ไล่บดขยี้อยู่ฝ่ายเดียว เป็นหนึ่งในเกมที่ลิเวอร์พูลเล่นดีที่สุด

ความเข้มข้นไม่ลดลงเลยตั้งแต่นาทีแรก นักเตะหงส์แดงวิ่งเข้าใส่ แย่งบอล บีบกดดันจนอีกฝ่ายทำผิดพลาด โดยเฉพาะเกมเคาน์เตอร์เพรสซิ่งหรือการรุมเอาบอลคืนมาในความครอบครองอีกครั้งอย่างรวดเร็วหลังเสียบอล เข้าขั้นท็อปคลาส

10 นาทีก็แล้ว 15 นาทีก็แล้ว 20 นาทีก็แล้ว ลิเวอร์พูลก็ยังไล่กดผู้มาเยือนด้วยความดุดันอย่างนั้นไม่มีผ่อน

ผ่านไป 25 นาทีโอกาสทำประตูทะลุสู่ระดับ 10 ต่อ 0 และยังคงดำเนินต่อไปอย่างนั้น

บอลสั้นเร็วยืนพื้น ผสานด้วยความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะที่เลี้ยงกินตัวได้อย่าง หลุยส์ ดิอาซ และ โชต้า ไม่เพียงเท่านั้นยังมีบอลยาวลักไก่ของคู่เซนเตอร์แบ๊กที่เปิดบอลได้ทั้ง 2 คน

อิบู โกนาเต้ กับ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์

บอลยาวเปลี่ยนจังหวะอย่างรวดเร็วของทั้งคู่เล่นงานเชลซีได้มาก กำลังตั้งหลักป้องกันเกมสั้นอยู่ก็เจอบอลข้ามหัวทิ้งไปที่ปีก ต้องรีบปรับกระบวนกันใหม่ แล้วบอลจากเท้าของคู่นี้ก็แม่นยำเสียด้วย

ลิเวอร์พูล "นวด" เชลซีไปเรื่อยๆ ด้วยเกมที่ตื่นตัวกว่ามาก เคลื่อนที่ทุกคนและมีความพร้อมในทุกจังหวะ ปรี่เข้าปะทะ พุ่งเข้าแย่งบอล นักเตะสิงโตน้ำเงินครามแกะการบีบทั้งทีมของลิเวอร์พูลไม่ออก ภาพที่ออกมายิ่งกลายเป็นทีมเยือนซึมกว่า ช้ากว่า ไม่เจอบอล และเหมือนเตะบอลอัดกำแพง

ประตูขึ้นนำ 1-0 ยิ่งทำให้สถานการณ์ของเชลซีเลวร้ายหนัก นาทีนั้นพวกเขาทำได้แค่เล่นอย่างอดทนที่สุด ยื้อไม่เสียประตูให้นานที่สุด แต่ก็เอาไม่อยู่ บอลเสียของ เบน ชิลเวลล์ ที่ถูก แบร๊ดลี่ย์ ปั๊มแย่งมาได้ไปจบที่ความพลิกแพลงของโชต้าลากแหวกฝ่าคู่เซนเตอร์ทั้ง 2 คนดื้อๆ

ความแข็งแรงและการทรงตัวอันยอดเยี่ยมของดาวเตะโปรตุกีสก็เป็นกุญแจสำคัญในประตูนี้ เขาถูกคนที่ตัวใหญ่กว่ามากอย่าง เบอนัวต์ บาเดียชิล เบียดแต่ก็ยังไม่เสียหลักและเมื่อผ่านไปได้ก็เหลือแค่การส่งบอลเข้าไปตุงตาข่าย

หลังได้ประตูลิเวอร์พูลไม่ผ่อนเกม จังหวะ เอนโซ่ เฟร์นานเดซ ถูกทั้ง โชต้า และ โกนาเต้ รุมกินโต๊ะแย่งบอลไปได้ตรงกลางสนามในช่วงครึ่งชั่วโมงของเกมยืนยันอย่างนั้น การรุมแย่งบอลของนักเตะหงส์อยู่ในโหมดโหดจัด และเชลซีต้องเผชิญกับสภาวะนี้ทั้งเกม

ก่อนหมดครึ่งแรก 6 นาที ชิลเวลล์เสียท่าให้การเข้าแย่งบอลอย่างดุดันอีกครั้ง โชต้าเอาบอลมาได้ก่อนที่ ดิอาซ จะไหลให้ แบร๊ดลี่ย์ เติมขึ้นมาแตะบอล 2 ทีเข้าเขตโทษแล้วยิงเสียบเสาไกล เป็นประตูแรกในสีเสื้อหงส์แดงของขวัญใจคนใหม่ของเดอะค็อป

เสียบอลกลางทาง 2 ครั้ง เสีย 2 ประตู.. ไม่ใช่สิ เสียบอลกลางทางมากมาย และ 2 ครั้งในจำนวนนั้นเชลซีถูกลิเวอร์พูลลงโทษด้วยการเปลี่ยนมันเป็นประตู

ความห่างของเกมสะท้อนออกมาด้วยสถิติที่จนถึงนาที 42 เชลซีก็ยังไม่มีโอกาสได้ยิงประตูเลยสักครั้ง ตรงกันข้ามลิเวอร์พูลเดินหน้าเอาลูกที่สาม และบาเดียชิลที่เกมนี้ถูกเล่นงานจนปวดหัวก็ไปหวดโชต้าเสียจุดโทษ

ดาร์วิน นูนเญซ..

หัวหอกอุรุกวัยได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนๆ ให้เป็นคนยิงจุดโทษลูกนั้นแต่เขายิงไปชนเสา สุดท้ายแล้วเกมนี้ดาร์วินจบด้วยการทำ 1 แอสซิสต์ให้ดิอาซยิงปิดท้าย แต่ตัวเองซัดชนเสา-คานรวมกัน 4 หน

ไม่มีใครอีกแล้วในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ยิงชนเสาชนคานในเกมเดียวมากขนาดนี้

กระนั้นผมกลับประทับใจการเล่นของดาร์วินในเกมนี้มาก เพราะผมมองไม่เห็นความล่ก ความลนลาน ความลุกลี้ลุกลน ความตื่นเต้น ความไม่นิ่งอย่างที่เคยเห็น

ยิงชนเสา-คาน 4 ครั้งนี้ของดาร์วิน แตกต่างไปจากที่ยิงชนเสา-คานหลายครั้ง และที่ยิงพลาดอีกหลายหนก่อนหน้านี้ เกมนี้ผมเห็นแต่ความมั่นใจของเขา กล้าเล่น กล้ายิง ยังขยันทุ่มเทเหมือนเดิมแต่ผ่อนคลายและนิ่งขึ้นในจังหวะยิงประตู

เพียงโชคร้ายเท่านั้นเองที่เสากับคานเหมือนแกล้ง แต่การแสดงออกทางภาษากายดูดีมาก อย่างนี้นับว่ามีความหวัง

เสียงเพลง "There's only one Conor Bradley" ดังขึ้นเป็นครั้งแรกในครึ่งหลังตอนที่ แบร๊ดลี่ย์ เบียดเอาชนะแย่งบอลไปจาก คริสโตเฟอร์ เอนคุนคู ตัวความหวังที่ เมาริซิโอ โปเชตติโน่ เปลี่ยนลงมา

เขายังเอาชนะการดวลตัวต่อตัวแบบนั้นได้อีกกับ มิไคโล มูดริก รายนี้ 2 ครั้ง 2 หนเลย ยังไม่รวมการรับผิดชอบเกมป้องกันได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาดและการเติมขึ้นไปช่วยเกมรุก

โจ โกเมซ ก็เนี้ยบ ขยับเข้ามายืนกองกลางเป็น inverted fullback และทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาด ช่วยงานกองกลางในฐานะตัวพิเศษที่เพิ่มเข้ามา กลายเป็นตัวเลือกอีกคนของเพื่อนยามขึ้นบอล

ประตู 3-0 มาจากการวางยาวฉับพลันของ ฟาน ไดค์ ให้ แบร๊ดลี่ย์ ที่แอบแล่บขึ้นมาทางขวา

จังหวะแตะกระชากตัวประกบแล้วหักข้อเท้าโยนบอลเข้ากลางขณะกำลังวิ่งอยู่ชวนให้รู้สึกอิ่มใจ ความเร็วแบบนั้นโยนบอลได้อย่างนั้น เมื่อมันจบด้วยการโขกตุงตาข่ายของโซโบสไลจึงยิ่งเป็นการเล่นที่สมบูรณ์แบบ

นำห่างสามประตูและเปลี่ยนตัวรวดเดียว 4 คน แต่คุณภาพเกมของลิเวอร์พูลยังไม่ลดลง

แน่นอนว่าพวกเขาคลายความกดดันที่พุ่งใส่เชลซีลงไปแต่ก็ไม่ประมาท ขยับจี้เข้าถึงทันทีเพื่อไม่ให้เล่นบอลง่าย แล้วก็ยังมีนักเตะประเภทที่ครองบอลดี รู้จังหวะ รู้สถานการณ์ บางครั้งแค่ปล่อยบอลผ่านตัวไม่จับบอลเล่นจังหวะแรกก็พลิกหนีการเข้าสกัดของแข้งเชลซีได้แล้ว ลูกแบบนี้โชต้ากับโซโบสไลทำได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก

บาเดียชิลเป็นผู้ปราชัยอย่างสมบูรณ์เมื่อถูกดิอาซที่อยู่ข้างหลังชิงตัดหน้าจิ้มบอลที่ดาร์วินผ่านเข้ามาได้ก่อน กลายเป็นประตูฝัง 4-1 จังหวะก่อนหน้านั้นก็เป็นคนห้อยอยู่ตัวสุดท้ายทำให้การบุกชุดนี้ของเจ้าถิ่นไม่ล้ำหน้า

เกมนี้ปราการหลังชาวฝรั่งเศสถูกเล่นงานจนอ่วม เป็นหนึ่งในเกมที่เขาคงจะอยากลืม

ลูกโหม่งชนคานของดาร์วินในโอกาสน่าจะครั้งที่ 11 หรือ 12 ของตัวเองในเกมนี้จบบทสรุปจังหวะใหญ่ๆ ของวัน ลิเวอร์พูลทำงานของตัวเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เอาชนะเชลซีด้วยเกมที่ยอดเยี่ยม เด็ดขาด และเฉียบขาด

มีสิ่งดีๆ มากมายที่เดอะค็อปเก็บเกี่ยวได้จากเกมนี้ ถ้าจะลองสังเกตดูสักนิด สปิริตของลิเวอร์พูลกำลังมัดรวมกันแน่นเต็มที่ โดยเฉพาะนับตั้งแต่วันประกาศข่าวใหญ่ของคล็อปป์เมื่อศุกร์ที่แล้ว

มัดรวมกันเป็นหนึ่ง พุ่งไปข้างหน้า สู่เป้าหมายยิ่งใหญ่ และทุกคนก็พร้อมสำหรับมันอย่างเต็มที่..

เสียงเพลง You'll never walk alone ยังคงดังกระหึ่มได้ยินไปไกลหลายกิโลเมตรรอบสนาม มันสะท้าน ผลักดัน และท้าทายเหมือนเดิม..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport