สีสันที่เราคาดไม่ถึง

ผลงานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล คือสีสันที่เราคาดไม่ถึงสำหรับฤดูกาลนี้

ก่อนเปิดฤดูกาลถ้าจะถามว่าเป้าหมายของทั้งสองทีมคืออะไร คำตอบที่ได้รับน่าจะเป็นการลุ้นทำอันดับติดท็อปโฟร์ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นลำดับแรก

เรื่องลุ้นแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล อาจจะใช้คำว่า แอบลุ้น ไปก่อน รอดูสถานการณ์อีกทีถ้าอะไรๆ มันดีก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ แต่ถ้าเล่นไปเล่นมาเข้าอีหรอบเดิมคือน่าละเหี่ยใจ เจอทีมใหญ่ก็แพ้ เจอทีมเล็กก็พร้อมสะดุดค่อยมาว่ากัน กลับไปเป้าหมายเดิมก็ได้

ทั้งสองทีมออกตัวแตกต่างกันครับ อาร์เซน่อลร้อนแรงตั้งแต่แรกเลยด้วยการชนะ 5 เกมรวด ขณะที่ยูไนเต็ดหน้าทิ่มตั้งแต่หัววัน ความมั่นใจดิ่งเหวโดยเฉพาะหลังเกมถูกเบรนท์ฟอร์ดขยี้ยับก็เริ่มมีความสงสัยเกิดขึ้นในตัว เอริก เทน ฮาก ว่าใช่คนที่ถูกต้องหรือไม่..

-------------------------

ความเชื่อมั่นของแฟนบอลอาร์เซน่อลเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเกมที่ผ่านไป นอกจากผลงานในสนามที่ได้เห็นจะเต็มไปด้วยความไหลลื่นเพลิดเพลินแล้ว ผลการแข่งขันที่ออกมาก็ยังสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอีกด้วย

หลายปีแล้วที่อาร์เซน่อลเล่นฟุตบอลสวยงามแต่ไม่ได้ผลดังที่หวัง หลายครั้งเล่นดีแต่แพ้ หลายคราเล่นแย่ยิ่งกลายเป็นโดนไล่อัดเละเทะ

มันเกิดขึ้นบ่อยจนแทบจะกลายเป็นภาพจำไปแล้วว่าทีมปืนใหญ่อาจจะเล่นดีเล่นสวยหรือพยายามเล่นในแบบฉบับที่เป็นของตัวเองและทำให้แฟนบอลได้ชื่นใจในบางนัด แต่ในภาพรวมแล้วก็ยังมักจะไปไม่รอดเอาแต้มไปแจกเพื่อนๆ อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลิเวอร์พูล หรือ เชลซี อยู่ตลอด พร้อมกับที่กล้าๆ แพ้ทีมระดับกลางตารางหรือเสียแต้มให้ทีมในกลุ่มท้ายตาราง

แต่ไม่ใช่กับฤดูกาลนี้ ที่อาร์เซน่อลแปลงเอาฟอร์มที่น่าประทับใจให้มาเป็นผลการแข่งขันที่น่าภาคภูมิใจได้แล้ว

ทีมปืนใหญ่คือทีมที่แพ้น้อยที่สุดในลีกเวลานี้เท่ากับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด คือแค่เกมเดียว เพียงแต่อีก 18 นัดที่เหลือเปลี่ยนเป็นชัยชนะได้มากถึง 16 เกมจึงทิ้งทีมสาลิกาดงที่ผลหนักไปทางเสมอถึง 9 นัดไกลถึง 11 แต้มโดยที่ยังลงเล่นน้อยกว่าอีกหนึ่งเกมด้วย

ความรู้สึกของสาวกเดอะกันเนอร์สจึงเปลี่ยนไปเป็นลุ้นแชมป์เต็มตัว มันน่าจะแผ่ซ่านจนกลายเป็นความรู้สึกที่ทุกคนมีร่วมกันไปแล้วหลังจากที่ก่อนหน้านี้แต่ละคนอาจจะเริ่มเชื่อมั่นช้า-เร็วต่างกัน บางคนอาจจะมั่นใจว่าลุ้นแชมป์ตั้งแต่ก่อนหยุดพักให้ฟุตบอลโลก บางคนอาจจะยังขอดูสถานการณ์ต่อไปอีกระยะ

บางคนอาจจะเพิ่งมั่นใจกับความรู้สึกว่าทีมรักลุ้นแชมป์เต็มตัวเอาเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้เองหลังบุกชนะสเปอร์สได้ในขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สวนทางแพ้ยูไนเต็ดที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด จนแต้มที่เคยห่าง 5 กลายเป็น 8 พร้อมกับแซงขึ้นไปเป็นเต็งหนึ่งแทนเรือใบสีฟ้า

ชัยชนะเหนือยูไนเต็ดเมื่อวันอาทิตย์ยิ่งตอกย้ำถึงความพร้อมของอาร์เซน่อล พวกเขาไม่ได้พร้อมแค่ฝีเท้าหรือสปิริตทีม หากยังพร้อมทางด้านหัวจิตหัวใจ ดาร์บี้แมตช์เก็บเรียบชนะร้อยเปอร์เซนต์จนถึงเวลานี้ เข่นไก่เดือยทองแบบไป-กลับ เจอทีมใหญ่ด้วยกันก็เอาชนะมาได้เรื่อยๆ

มันไม่ใช่ภาพเดิมๆ ของความเป็นอาร์เซน่อลที่หลอกหลอนแฟนบอลอีกแล้ว

ก็เพราะความล้มเหลวปีแล้วปีเล่าที่ผ่านมานั่นแหละที่ทำให้พวกเขารู้สึกอย่างนั้น ไม่กล้าเชื่อ ไม่กล้าหวัง ไม่กล้ามั่นใจว่าทีมรักจะทำได้เหมือนอดีตอันหอมหวานในยุครุ่งเรืองของ อาร์แซน เวนเกอร์

กระทั่งฝัน.. ก็อาจจะยังลังเลว่าฝันใหญ่เกินไปไหม

ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว อาร์เซน่อลในเวลานี้มีทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับที่ผ่านมา พวกเขาเชื่อ พวกเขาหวัง พวกเขามีความมั่นใจ และพร้อมที่จะกระโจนโลดแล่นไปตามความฝันอันยิ่งใหญ่

นี่คือความสุขเปี่ยมล้นที่กำลังเกิดขึ้นในใจของแฟนบอลอาร์เซน่อล ความสำเร็จงดงามที่สุดที่ มิเกล อาร์เตต้า และลูกทีมของเขาสร้างขึ้นไม่ได้อยู่เพียงแค่ผลงานและผลการแข่งขันที่ได้เห็นในสนามเท่านั้น หากยังเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อมั่นที่หายสาบสูญไปหลายปีถูกเพาะบ่มให้เติบโตขึ้นในใจของแฟนบอล

นั่นต่างหากอาจจะเป็นความสำเร็จยิ่งกว่า

เห็นวิธีการเอาตัวรอดในการครอบครองบอลหน้าเขตโทษตัวเองของพวกเขาใช่ไหมครับ คู่แข่งกี่ทีมๆ พยายามวิ่งบีบกดดันก็ไล่พวกเขาไม่จน นักเตะปืนใหญ่ผ่านบอลให้กันอย่างมั่นใจและพาบอลหลุดออกไปได้ทุกครั้ง

มันไม่ได้เกิดขึ้นเพียงข้ามวันหรือข้ามคืน หากมาจากพื้นฐานที่วางเอาไว้และยืนหยัดกับมัน

ถ้ายังจำกันได้ ในช่วงแรกๆ ของอาร์เตต้า ทีมก็พยายามเล่นแบบนี้ ตั้งบอลจากแนวหลัง ไม่เตะทิ้งมั่วซั่ว ผลลัพธ์คือบางเกมเละเทะดูไม่ได้ กระทั่งวัตฟอร์ดยังไล่บดขยี้จนไม่มีสภาพ เจอแมนฯ ซิตี้ ยิ่งไปกันใหญ่

แฟนบอลโมโห ต่อบอลกันไม่ได้ ผ่านบอลกันไม่แม่น โดนบีบคราใดตายอนาถทุกทีแล้วพวกมึงยังจะมัวต่อบอลกันอีกทำไม ดูซิ โดนแย่งไปยิงอีกแล้ว! ปัดโธ่เว้ย!!

คงยังจำความโมโหในแบบนั้นกันได้นะครับ

ไม่มีความล้มเหลว.. แล้วจะมีความสำเร็จได้อย่างไร

ดูวิธีการเล่นของอาร์เซน่อลเอาแค่ทัศนคติที่มีต่อการตั้งเกมจากหน้าประตูตัวเอง ดูความพยายามผ่านช่วงเวลาอันกระท่อนกระแท่นและเสียงวิจารณ์ทั้งหลายที่ผ่านมา การยึดมั่นในอุดมการณ์และแนวทางที่เชื่อว่ายั่งยืนนั้นเมื่อมันผลิดอกออกผลแล้วก็มักจะหอมหวานเป็นพิเศษ

เหมือนที่เหล่ากูนเนอร์สกำลังดื่มด่ำกับมันอยู่ในเวลานี้..

-------------------------

ในขณะเดียวกัน หลังผ่านความวุ่นวายมากมายมาอีกหลายเดือน แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เริ่มที่จะเชื่อในทีมของตัวเองอีกครั้งเช่นกัน

ช่วงครึ่งฤดูกาลแรกของยูไนเต็ดนั้นขึ้นลงราวกับนั่งรถไฟเหาะตีลังกา เทน ฮาก ต้องปรับและเปลี่ยนอะไรหลายอย่างที่ไม่เข้าที่เข้าทางให้มันเรียบร้อยในแบบที่ควรจะเป็น ความกลมเกลียวและจริงจังกับผลการแข่งขัน ศรัทธาและทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อตราสโมสรที่ประทับหน้าอก

เมื่อฝุ่นที่เคยตลบฟุ้งอยู่เริ่มจางลง พวกเขาก็พบว่ามันกลายเป็นตะกอนแห่งความกล้าและความเชื่อในแบบเดียวกัน

กับผู้จัดการทีมคนนี้ พวกเขากล้ายิ่งขึ้น เชื่อมากขึ้น ยินดีอย่างยิ่งที่จะฝากความหวังของตัวเองให้แล้วเดินไปด้วยกัน

มองดูบรรยากาศภายในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกที ความเชื่อโอบอุ้มอยู่รอบตัว เอริก เทน ฮาก

นาทีนี้ทุกคำพูดและการกระทำของเขามีผู้คนพร้อมสนับสนุนชนิด "ไปไหนไปด้วย" ชนิดมหาศาล เจ้านายเอาไงพวกผมเอาด้วย เพราะทุกสิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไปนั้นมองเห็นชัดว่า เป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของสโมสรเป็นอันดับแรกจริงๆ

ถ้าคุณเป็นแฟนบอล คุณจะไม่มอบหัวใจของคุณให้กับเขาได้ยังไง เมื่อเขาทำให้คุณเห็นว่าเขาเต็มที่กับสโมสรที่คุณรักมากขนาดนั้น

หลายคนมองว่า เทน ฮาก แข็ง แต่ผมคิดว่าเขายืดหยุ่นและเข้าใจดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร การบริหารความเข้มงวดของเขาทำได้ดีเยี่ยม อย่างกรณีปัญหากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เป็นขวัญใจของแฟนบอล แน่นอนเขาเข้มและไม่ยอมยกเว้นกฎเกณฑ์ที่ตัวเองตั้งไว้ แต่มันก็ซ่อนความพยายามทำความเข้าใจกับสตาร์โปรตุกีสอย่างละมุนละม่อมเอาไว้ด้วยเช่นกัน

หรือการร่วมรับผิดชอบต้องออกแรงวิ่งไปกับลูกทีมด้วยหลังความพ่ายแพ้ยับเยินที่เบรนท์ฟอร์ดซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของฤดูกาล ผมไม่คิดว่ามันเป็นการซื้อใจลูกทีมอะไรเลย แต่เป็นเพราะเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ว่าเขาควรจะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย

ทุกอย่างที่เทน ฮาก ทำ แฟนบอลสัมผัสได้ว่ามันถูกต้องสำหรับสโมสร มีหลักการที่ง่ายๆ แต่ชัดเจนว่าสโมสรต้องมาก่อน และทุกคนต้องคิดถึงสโมสรก่อนตัวเอง

เมื่อความวุ่นวายต่างๆ นานาเริ่มมลายหายไป ผลงานก็ค่อยๆ เป็นชิ้นเป็นอัน ด้วยสปิริตที่มีร่วมกันในทีมและคุณภาพโดยพื้นฐานที่พวกเขามีในตัวเองอยู่แล้ว

พวกเขาจึงค่อยๆ ขยับคืบขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้สามารถพูดได้เต็มปากแล้วว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังก้าวไปสู่ปลายทางที่มองเห็นอนาคต

แน่นอนครับ การสะดุดสองเกมติดต่อกันที่ เซลเฮิร์สท์ พาร์ค และ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ทำให้คะแนนหายไป 5 แต้ม โอกาสที่จะบีบอาร์เซน่อลเหลือเพียง 3 คะแนนแล้วยกสถานะตัวเองขึ้นไปเป็นทีมลุ้นแชมป์เต็มตัวกลายเป็นถูกทิ้งห่าง 11 แต้ม ต้องรอโอกาสครั้งใหม่เปิดให้อีกที

แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสำหรับแฟนบอลยูไนเต็ด แทบจะเป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋วมากๆ ด้วยซ้ำ เสียดายถูกคริสตัล พาเลซตีเสมอก็จริง เสียดายยันอาร์เซน่อลไม่อยู่นั่นก็ใช่ แต่มันก็แค่ความเสียดายที่มีหลังจบเกม หากทัศนคติของทุกคนในทีม ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่เกิดขึ้น และแนวทางที่ทีมกำลังก้าวเดินไปสู่อนาคตต่างหากที่ทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยยิ่งกว่า

วันนี้อาจจะยังไม่ถึง แต่วันหน้าพวกข้าจะไปให้ถึง รอแค่เวลาที่เหมาะสมเท่านั้นแหละ และพูดเลยว่าเป็นการรอที่น่าตื่นเต้นในทางบวก

-------------------------

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับอาร์เซน่อลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตอกย้ำกับเราว่าฟุตบอลก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ของชีวิต ไม่มีตกต่ำถาวร ไม่มีรุ่งเรืองตลอดไป

มีขึ้น มีลง และตอนนี้ ทั้งสองทีมดูเหมือนกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้ง

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ เทน ฮาก กับ อาร์เตต้า นั่นคล้ายกันคือทั้งคู่ทำให้แฟนบอลกล้า กล้าที่จะมั่นใจ กล้าเชื่อ กล้าฝัน กล้าหวังถึงความเรืองรองที่เคยอบอวลว่ามันจะกลับมาสู่เราอีกครั้ง

แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้มันก็ต้องใช้เวลา และต้องผ่านอารมณ์พลุ่งพล่านมาไม่น้อยเลย

สติแตก ทนไม่ได้กับความผิดหวัง โวยวายในทุกความพ่ายแพ้ หงุดหงิดนักเตะที่เล่นไม่ได้ดั่งใจ โมโหทีม ดูถูกโค้ช โกรธเกลียดฝ่ายบริหาร อารมณ์ด้านลบเหล่านี้เคยผุดขึ้นมาในความรู้สึกของแฟนบอลหมดแล้วทั้งนั้น

มันก็ธรรมดา เพราะเราไม่รู้อนาคต และเราว่ากันตามภาพปัจจุบันที่เห็น แย่ก็ต้องบอกว่าแย่ ห่วยแตกเห็นๆ มันก็ต้องด่า จะให้พูดว่าดีได้อย่างไร

แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังบอกกับเราอีกด้วยว่า อย่าเพิ่งเอาภาพที่เห็นในปัจจุบันไปตัดสินอนาคตว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน หรือเป็นอย่างนั้นแน่ๆ

อย่าเพิ่งสติแตกเกินไปกับการหกล้มเลย อย่าเพิ่งทนไม่ได้เกินไปกับทุกความผิดหวังเลย อย่าเพิ่งโวยวายเกินไปในทุกความพ่ายแพ้เลย อย่าเพิ่งโมโห หงุดหงิด ดูถูก หรือนำพาอารมณ์โกรธเกลียดเข้ามาจนขุ่นมัวในใจมากเกินไปเลย มันจะเป็นการปลูกฝังพลังลบในตัวเราเองเสียเปล่าๆ

เชื่อว่าความรู้สึกเหล่านี้แฟนบอลอาร์เซน่อลที่เคยด่าทออาร์เตต้าอย่างรุนแรงคงจะเข้าใจมันดีที่สุด นี่มันได้ดีเพราะเราด่า หรือเป็นเราที่รุ่มร้อนบ้าเลือดด่าทุกอย่างที่ขวางหน้ากันไปเองในขณะที่เขายังคงก้มหน้าก้มตารับคำด่าไปด้วย พยายามแก้ปัญหาให้ทีมไปด้วยกันหว่า.. มาคิดๆ ดูให้ละเอียด ดูท่าจะไม่ใช่อย่างแรกเสียด้วยแฮะ

เพราะความย่ำแย่ที่เกิดขึ้นในสนาม ไม่ได้หมายความว่าคนที่กำลังทำงานอยู่นั้นนิ่งเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว ตาบอดมองไม่เห็น หรือไม่พยายามหาทางแก้ไขมันอย่างที่เราคิดตำหนิ เพียงแต่ทุกการแก้ปัญหามีความซับซ้อนยุ่งยากแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขที่แต่ละทีมมี

และการพยายามแก้ปัญหาเหล่านั้น พวกเขาน่าจะควรได้รับกำลังใจจากพวกเดียวกันมากกว่าคำด่าทอ ยิ่งมีปัญหามากก็ยิ่งควรได้กำลังใจมากขึ้นไปอีก

แต่ก็นั่นล่ะครับ ด้วยความที่การแก้ปัญหาในฟุตบอลเป็นเรื่องพูดยาก เพราะมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว การให้เวลาอาจไม่ได้เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเสมอไปก็ได้ เราจึงล้วนมีมุมมองและความอดทนในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นแตกต่างกัน

อาร์เซน่อล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถฝ่าฟันปัญหาจนพาตัวเองมาอยู่บนเส้นทางที่พูดได้ว่าเป็นกราฟที่กำลังพุ่งขึ้น นั่นคือเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีด้วยกับทั้งสองทีม

ทีมอื่นๆ ร่วมลีกมีภาพที่คละเคล้ากันไป บางทีมก็เป็นขาขึ้นเช่นกัน บางทีมยังไปได้เรื่อยๆ บางทีมเริ่มหยุดนิ่ง บางทีมกำลังดิ่งลง มันก็เรื่องธรรมดาทั้งนั้น ไม่มีใครชนะไปตลอดหรือเป็นผู้แพ้อยู่ร่ำไป แต่ที่แน่ๆ คือไม่มีใครอยู่เฉยๆ ไม่ยอมทำอะไรเลยหรอก

เกมที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์อาจจะมีหนึ่งทีมแพ้ อีกหนึ่งทีมชนะ แต่ทั้งสองทีมต่างก็กำลังมีความเชื่อมั่นและความหวังปกคลุมอยู่เหมือนๆ กัน มันเพิ่งจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายใหม่ที่ทอดยาวรออยู่เท่านั้นเอง..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport