รอเวลาเดินถอยหลัง ช้างศึกไทย

สัญญาณของการนับถอยหลังในการเลิกเล่นทีมชาติไทยของบรรดาแข้งซุปเปอร์สตาร์ของไทยเริ่มส่งออกมาถี่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

ล่าสุดเกมบุกอุ่นเครื่องทีมชาติญี่ปุ่น ในวันปีใหม่ ก็ไม่มีชื่อของ “เจ”ชนาธิป สรงกระสินธุ์ เพลย์เมคเกอร์ตัวเก่งของไทย เพราะอาการบาดเจ็บเล่นงานนานเกินคาด

"มุ้ย"ธีรศิลป์ แดงดา มีชื่อไปลุยแดนปลาดิบ โดยก่อนหน้านี้เจ็บยาวมา ล่าสุดปะทะนักเตะชลบุรี ในเกมบอลถ้วย อาการหนักกว่าที่คิด ทำท่าจะต้องถอนตัวไปอีกราย

ทั้งสองรายนี้ ถือเป็นนักเตะประเภทเกรดเอ บวก ที่ช่วยเสกชัยชนะให้กับทีมชาติไทย และเป็นนักเตะที่สร้างความแตกต่างให้กับเกมได้อย่างชัดเจน

แต่ระยะหลังทั้ง ชนาธิป และธีรศิลป์ โดนอาการบาดเจ็บรุมเร้าเล่นงาน ไม่สามารถรับใช้ บีจี ปทุมฯ ต้นสังกัดและทีมชาติไทยได้ 

นอกเหนือจากเกมอุ่นเครื่องที่ญี่ปุ่นแล้ว แว่ว ๆ มาว่า ทั้งสองคน ยังอาจจะชวดเล่นในฟุตบอลเอเชี่ยนคัพที่จะเตะกลางเดือนม.ค.ด้วย โดยเฉพาะธีรศิลป์ ที่ดูเหมือนไม่หนักแต่กลับหนัก ขณะที่ชนาธิป ก็ยังต้องลุ้นเพราะไปเจ็บบริเวณกระดูกที่หายช้ากว่ากล้ามเนื้อ

หากตัดเรื่องอุบัติเหตุในสนามไป ทั้งธีรศิลป์และชนาธิป เจ็บมาต่อเนื่องในระยะหลัง อันเนื่องมาจากสภาพร่างกายที่กรำศึกหนัก และแน่นอนอายุที่มากขึ้น การฟื้นฟูร่างกายย่อมไม่เหมือนเดิม ยิ่งทั้งคู่เป็นนักเตะประเภทเสกมนต์คาถาให้ทีมได้ด้วย จึงต้องโดนกำราบหนักเป็นพิเศษ ตอนอายุน้อยก็ยังพอไหว แต่วัยที่เพิ่มขึ้น ร่างกายที่เริ่มโรยลาลงไป จึงทำให้ทั้งคู่ไม่สมบูรณ์เหมือนเก่าก่อน

ธีรศิลป์ในวัย 35 ปี ตอนนี้แม้เขี้ยวเล็บจะแหลมคม แต่ต้องเลือกช่วงเวลาใช้งาน ขณะที่ชนาธิป วัยแตะเลข 3 แล้วในปีนี้ สไตล์ของชนาธิปไปกับบอลได้ดี แต่ก็ต้องใช้พละกำลังในการกระชากลากเลื้อยเหมือนกัน

นอกจากทั้ง 2 คนนี้แล้ว อีกหนึ่งนักเตะที่เป็นพวกพิเศษใส่ไข่ของทีมชาติไทยก็คือ ธีราทร บุญมาทัน แม้ระยะหลังจะยังเล่นต่อเนื่อง แต่ในวัย 33 ปีก็ต้องเริ่มนับถอยหลังแล้ว รวมถึง สารัช อยู่เย็น ห้องเครื่องตัวเก่งที่อายุ 31 ปี

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือ แกนหลักที่ขาดไม่ได้สำหรับทีมชาติไทยในระยะหลัง และเป็นแข้งประเภทแบกทีมกันเอาไว้ทั้งสิ้น

แต่ด้วยวัยที่เพิ่มมากขึ้น แน่นอนเอเชี่ยนคัพหนนี้หลายคนคงได้วาดลวดลายเป็นหนสุดท้าย ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่จะสตาร์ตในปีหน้า ก็น่าจะเป็นครั้งท้าย ๆ ของหลายคนเช่นเดียวกัน เพราะต้องรอไปอีก 4 ปีกว่าจะถึงครั้งหน้า

นอกจากนี้พวกตัวหลัก ๆ ของทีมชาติตอนหลัง 30 อัพเกือบทุกตัวโดยเฉพาะแนวรับ เอเลียน ดอเลาะห์, มานูเอล ทอม เบียร์ 30 ปีด้วยกันทั้งคู่ พรรษา เหมวิบูลย์ไป 33 ปีแล้ว น่าจะปลดระวางพร้อมกันในบอลโลกหนนี้

คำถามว่าเด็กรุ่นใหม่อายุน้อยที่ยังติดทีมชาติอยู่ก็ยังมี ทั้งศุภณัฎฐ์ เหมือนตา อายุแค่ 21 ปี, เอกนิษฐ์ ปัญญา ก็แค่ 24 ปี, กฤษดา กาแมน ก็แค่ 24 ปีเหมือนกัน แน่นอนทั้งหมดจะคือแกนหลักในอนาคต แต่ตัวอื่น ๆ ที่จะขึ้นมาเสริมล่ะ

เหลียวไปดูชุดยู 23 ที่จะเป็นชุดกำลังเสริมที่จะขึ้นไปทดแทนชุดใหญ่ในเอเชี่ยนคัพครั้งหน้าหรือบอลโลกครั้งหน้า

จนป่านนี้แล้วส่วนใหญ่ยังเป็นแค่นักเตะสำรองของสโมสร บางคนบอกว่าอายุ 23 ปียังมีโอกาส แต่ 23 ปีนี่อายุไม่น้อยกันแล้วนะครับ ควรจะเป็นกำลังหลักของสโมสรได้แล้ว หากคิดจะเป็นตัวหลักของทีมชาติในอนาคต และยังไม่มีใครฟอร์มโดดเด่นพอที่จะเป็นความหวังในอนาคตแบบร้องว้าว ได้เลย

นี่คือความน่าหนักใจกับอนาคตของช้างศึกชุดใหญ่ หนักใจที่รอยต่อจาก 23 ปีสู่ชุดใหญ่มันขยายวงกว้างน่ากลัวจนไม่น่าจะเชื่อมให้ดูราบรื่นได้ 

และที่น่าหนักใจ หากพ้นยุคของ ธีรศิลป์ แดงดา, ชนาธิป สรงกระสินธุ์, ธีราทร บุญมาทัน 3 นักเตะที่คลาสบอลเหนือชั้นกว่าชาวบ้านไป ทีมชาติชุดใหญ่จะหาใครมาทดแทนเพื่อสร้างความแตกต่างในเกมได้อีก

คำถามนี้จึงต้องย้อนกลับไปที่ลีกไทย และสโมสร เมื่อค่าตัวและค่าเหนื่อยนักเตะไทยที่มีดีกรีติดธง มันดันสูงเว่อร์เกินจับต้อง การใช้นักเตะต่างชาติที่เก่งกว่าหรือเก่งไม่แพ้กัน แต่ราคาถูกกว่ากันเกินครึ่ง จึงเป็นที่นิยมของทุกสโมสร

ยิ่งโควต้าลงสนามของตัวต่างชาติ 3 คนบวกเอเชีย 1 บวกอาเซี่ยนอีก 3 ปาเข้าไปได้ถึง 7 คน มันเอื้อให้ทุกทีมใช้งานบริการนักเตะต่างชาติที่ราคาย่อมเยาว์ และที่สำคัญแกะซองเทน้ำร้อนกินได้เลย เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปราคาถูกแต่อิ่มเหมือนกันดีกว่า

จึงเป็นที่มาของการคุมกำเนิดนักเตะดาวรุ่งของไทยที่ก้าวขึ้นมายาก ขนาดอายุใกล้ 23 ปียังแค่สำรองของสโมสร 

แล้วจะไปคาดหวังอะไรกับช้างศึกชุดใหญ่หลังหมดยุค อุ้ม-มุ้ย-เจ รอเวลาเดินถอยหลังไปเริ่มใหม่สำหรับช้างศึกไทย

เป็นงานของว่าที่นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯคนต่อไป ที่ทำอย่างไรจะมีทายาท อุ้ม-มุ้ย - เจ มาประดับวงการ

ปรับระบบลีกให้แข็งแกร่ง สร้างนักเตะเพื่อส่งออกลีกแข็งในเอเชียหรือยุโรป โดยสร้างแบบมีคุณภาพให้เขายอมรับ

ญี่ปุ่นส่งออกนักเตะไปยุโรปเป็นร้อยคน ไทยก็ต้องวางเป้าส่งออกนักเตะไปญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ให้ได้เป็นสิบเป็นร้อยคน ลำพังแค่เจ, อุ้ม, มุ้ย, สุภโชค และเอกนิษฐ์ ยังไม่พอ

เราอาจจะเก่งไม่เท่าญี่ปุ่นหรือทีมแนวหน้าเอเชีย แต่ช้างศึกเราจะแข็งแกร่งขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องรอนานมากหน่อยกว่าวันนั้นจะมาถึง

กระจกเงา



ที่มาของภาพ : gettyimages
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport