สมพร ยศ จอมหนึบเลือดนักสู้!!

ว่าแล้ว 'SIAMSPORT' จึงบุกไปสัมภาษณ์จอมหนึบจาก การท่าเรือ เอฟซี ถึงเรื่องราวอันเก่าก่อน และแน่นอนว่า 'ความหวัง' กับการถูกเรียกติดทีมชาติไทย อีกครั้ง เขาตั้งเป้าไว้อย่างไรบ้าง!?

คุณถูกเรียกติดทีมชาติหนแรกเมื่อไหร่?

   ก่อนหน้านี้ผมเล่นแต่ทีมชาติไทย ชุดเยาวชน แต่ถ้าจะเป็นชุดใหญ่ ต้องย้อนกลับไปยุคพี่ซิโก้ (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) เป็นโค้ช ตอนฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก (แข่งขันในปี 2016) ซึ่งไปเล่นที่สนามกลาง ประเทศอิหร่าน ตอนนั้นมีพี่ตอง (กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์) กับพี่ตี๋ (สินทวีชัย หทัยรัตนกุล) 

หลังจากนั้นก็ติดทีมชุดใหญ่มาเรื่อยๆ หรือเปล่า?

   หายไปนานเลยเหมือนกัน เพราะผมกลับมามีชื่ออีกครั้ง ก็เป็นฟุตบอลโลก 2020 รอบคัดเลือก (แข่งขันในปี 2021) ตอนที่ อากิระ นิชิโนะ เป็นเฮดโค้ช

อื้อหือ...5 ปี เลยทีเดียว แบบนี้ไม่ท้อบ้างเหรอ ที่ติดทีม แต่ก็ไม่ได้ลง แถมยังไม่ได้มีชื่อสม่ำเสมออีกด้วย?

   ใช่ ผมไม่เคยได้ลงสนามในนามทีมชาติชุดใหญ่เลย แต่ผมไม่เคยน้อยใจหรือท้อแท้หรอกนะ เพราะผมรักฟุตบอล ผมมองว่ามันเป็นเรื่องดีเสียอีก เพราะผมได้เรียนรู้จากผู้รักษาประตูเก่งๆ คนอื่นๆ ในแคมป์ ทุกวันนี้ผมก็ยังคิดแบบนั้นอยู่เหมือนเดิม

คือภูมิใจที่ได้รับใช้ชาติ?

   ถูกต้อง ผมภูมิใจทุกครั้งที่มีชื่อในทีมชาติไทย ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้เล่นก็ตาม

นับว่าคุณเป็นนักสู้เหมือนกันนะ เพราะในระดับสโมสร ก็หลายปีทีเดียว กว่าจะยึดมือหนึ่งของ เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้สำเร็จ แล้วมาต่อยอดกับ การท่าเรือ เอฟซี...

   อย่างที่ผมบอกไปว่าผมรักฟุตบอล ผมชอบอยู่กับฟุตบอล มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว อีกส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะผมมาจากบ้านนอกด้วย ผมจึงมีความอดทน มีแรงต้านทานมากกว่าคนอื่นๆ เขา

ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเป็นเด็กบ้านนอก?

   คือตอนเด็กๆ ผมก็เดินโต๋เต๋ตามท้องไร่ ท้องนา ผมเริ่มจากศูนย์ 

คือตอนเด็กๆ ค่อนข้างลำบาก?

   ใช่ ฐานะทางบ้านของผมไม่ได้ร่ำรวยนัก คุณพ่อทำงานโรงงาน ถึงปัจจุบันก็น่าจะ 30 ปี ได้แล้ว แนวโน้มจึงแทบไม่มีทางจะดีขึ้นกว่านี้ได้เลย แต่ก็เพราะฟุตบอลนี่แหละ ที่ทำให้ผมและครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น

แสดงว่าทุกวันนี้คุณดูแลครอบครัวอย่างดีแน่ๆ...

   ก็ไม่เชิงหรอก ผมอยากให้คุณพ่อและคุณแม่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ผมเองก็อยากให้ท่านเลิกทำงาน แต่ตอนนี้พวกเขายังขอทำต่ออีกนิด ก่อนปลดเกษียณ 

การกลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง รู้สึกอย่างไรบ้าง?

   ด้วยความที่เราโตขึ้น ทัศนคติหลายๆ อย่างดีขึ้น รวมกับความเขินอายก็ลดลง มันจึงทำให้เป็นตัวเองมากขึ้น

แบบนี้แสดงว่าก่อนหน้านี้รู้สึกเกร็งเหมือนกันใช่ไหม?

   ถูกต้อง ผมเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งและขี้อาย มันทำให้เวลาเจอเพื่อนใหม่ เจอรุ่นพี่ที่เก่งๆ ตัวผมจึงรู้สึกประหม่าพอสมควร

คิดว่าฟอร์มการเล่นกับ การท่าเรือ มีส่วนที่ทำให้กลับมาติดทีมชาติด้วยไหม?

   จริงๆ ต้องเริ่มตั้งแต่ เมืองทอง เพราะฤดูกาล 2022-23 ผมเล่นให้ เมืองทอง ในเลกแรก ก่อนจะย้ายมา การท่าเรือ เลกที่สอง ทว่าด้วยผลการแข่งขันกับ การท่าเรือ ที่ดีขึ้นมา มันอาจจะทำให้โค้ช (อเล็กซานเดร โพลกิ้ง) เห็นตรงจุดนี้

เป้าหมายในการกลับมาติดทีมชาติครั้งนี้?

   ก่อนหน้านี้ในชุดยู-19 หรือ ยู-23 ผมได้สัมผัสมาแล้ว แต่ยังไม่เคยได้ลงสนามในนามทีมชาติไทย ชุดใหญ่เลยสักครั้ง ผมจึงอยากสัมผัสกับบรรยากาศบ้าง ซึ่งถ้าหากได้รับโอกาส ผมจะพยายามทำอย่างสุดความสามารถ

คุณคิดว่า 2 เกมที่สหรัฐอารับเอมิเรตส์ ทีมชาติไทย จะได้อะไรกลับมาบ้าง?

   แน่นอน เพราะว่าทั้งซีเรีย และสหรัฐอารับเอมิเรตส์ มีแรงกิ้งสูงกว่าเรา มันเป็นเกมที่หนักแน่ แต่ชั่วโมงนี้เราเองก็พัฒนาขึ้นมาก รวมทั้งยังมีผู้เล่นที่ได้ประสบการณ์จากการไปค้าแข้งต่างประเทศ ผมจึงมั่นใจว่าทีมชาติไทย สู้ได้

ถ้าหากคุณได้รับโอกาสลงสนาม คุณกังวลไหมกับการที่จะต้องเจอผู้เล่นที่สูงใหญ่ของทั้งซีเรีย และสหรัฐอารับเอมิเรตส์?

   เอาจริงๆ ผมว่าทุกวันนี้ผมก็เจอมาหนักนะ (ยิ้ม) คือใน ไทยลีก แต่ละทีมก็มีนักเตะรูปร่างสูงใหญ่เต็มไปหมด แล้วผมต้องเผชิญหน้าในทุกๆ สัปดาห์ ดังนั้นผมจึงมั่นใจว่าสู้ได้ ไม่ได้หนักใจมาก

สุดท้ายนี้ เป้าหมายของคุณต่อจากนี้คืออะไร?

   ถ้าสำหรับทีมชาติไทย ผมเองก็อยากได้รับโอกาสลงสนามและอยากติดทีมอย่างส่ำเสมอ ส่วนในระดับสโมสร ผมอยากทำผลงานให้ดีที่สุด เพื่อพา การท่าเรือ ประสบความสำเร็จ และตอนนี้เราก็ยังอยู่ในเส้นทางของ เอฟเอ คัพ (รอบ 4 ทีม สุดท้าย) ซึ่งผมหวังว่าจะได้แชมป์สักครั้งในชีวิต