อินโดนีเซีย ด่านทดสอบแรกของทัพช้างศึก

มิตซูบิชิ อีเล็คทริค คัพ 2022 เดินทางมาถึงนัดที่ 3 ของรอบแบ่งกลุ่ม และทีมชาติไทย ก็กำลังจะเจอ 'บททดสอบ' ที่แท้จริงเป็นครั้งแรกในทัวร์นาเมนต์นี้

อินโดนีเซีย คู่ชิงของทัพช้างศึกจาก อาเซียน คัพ หนล่าสุดที่ตอนนั้นเราเอาชนะพวกเขาไปไม่ยากเย็นนัก กับสกอร์รวม 2 นัด 6-2 ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ห่างที่สุดสำหรับเกมไฟน่อล นับตั้งแต่รายการจัดแข่งขันเมื่อปี 1996 

อย่างไรก็ตาม เกมในวันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม นี้จะแตกต่างจากครั้งนั้นโดยสิ้นเชิง

ปัจจัยหลายหลากทำให้ ไทย จะพบกับความยากลำบากเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ไล่ตั้งแต่ขุมกำลังหลักของชุดแชมป์ 2020 ที่หายหน้าไปเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ชนาธิป สรงกระสินธ์, สุภโชค สารชาติ, ฉัตรชัย บุตรพรม, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, มานูเอล ทอม บีร์ห, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล และ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ

ชื่อเหล่านี้คือผู้เล่นที่ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอในทัวร์นาเมนต์ที่สิงคโปร์ แต่ไม่ได้เข้าร่วมกับศึกใหญ่ในปี 2022

แม้ว่าชุดปัจจุบันจะมี ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน, สารัช อยู่เย็น และ กฤษดา กาแมน อยู่ก็ตาม ทว่าการที่ไม่ได้มาแบบฟูลทีมก็ทำให้ประสิทธิภาพของช้างศึกลดลงไปพอสมควร

ที่สำคัญคือคู่แข่งของไทย เองก็คงรู้ดีเช่นกันว่าทีมชุดนี้ไม่ได้แข็งแกร่งทั่วทุกตำแหน่งเหมือนครั้งเก่า

ในขณะที่อินโดนีเซีย ยังเป็นตัวหลักจากนัดชิงชนะเลิศครั้งที่แล้ว แต่เพิ่มพูนด้วยประสบการณ์ที่เข้มข้นขึ้น อีกทั้งยังได้ซึมซับแท็กติกของ ชิน แท-ยง กุนซือผู้ช่ำชองอีกต่างหาก

มันจึงทำให้การเผชิญหน้ากันในวันพฤหัสบดีนี้จะเป็นเกมที่หนักหน่วงสำหรับไทย แน่นอน

เท่านั้นไม่พอ การบุกไปเยือน เสนายัน สนามที่เปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังและเลื่องลือด้วยการเป็น 'นรกของทีมเยือน' ยิ่งทำให้ทัพช้างศึกต้องพบกับความยากลำบากหลายเท่าตัว

เหตุการณ์นัดชิงชนะเลิศ ซีเกมส์ 1997 จารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังโลก กับมวลมหาชนคนอินโดนีเซีย ที่บ้าคลั่งจนเกือบทำให้การแข่งขันถูกยุติลง

ก้อนอิฐและเหรียญรูปียะฮ์ และอีกสารพัดสิ่งที่ถูกขว้างลงจากอัฒจันทร์สู่นักเตะไทย โดยที่ ดุสิต เฉลิมแสน กับ ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล เป็นสองผู้เล่นที่อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุมากที่สุด โทษฐานที่เป็นคนเล่นลูกตั้งเตะ

ไม่นับรวมเสียงโห่เรือนแสนที่อื้ออึงตลอดทั้งการแข่งขันที่กดดันจนทำให้สมาธิหลุดจนพลาดไปหลายจังหวะ

แม้สุดท้ายเราจะเอาชนะอินโดนีเซีย และคว้าเหรียญทองกลับมาสู่มาตุภูมิ แต่กว่าที่คณะลูกหนังของไทย จะออกจาก เสนายัน ได้ ก็กินเวลากว่า 3 ชั่วโมง เนื่องจากแฟนๆ ของเจ้าถิ่นไปยืนออรอส่งด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

การมาเยือนสนามแห่งนี้อีกครั้งก็จะยังคงเป็นอะไรที่ต้องระมัดระวังกันเหมือนเคย

ยิ่งกับการที่พวกเขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะ 'ล้างตา' ให้ได้ หลังต้องผิดหวังจากการได้เพียงรองแชมป์ในหนล่าสุด

ผลเสมอ ยังถือว่าล้มเหลวเลยสำหรับอินโดนีเซีย

เสน่ห์อย่างหนึ่งของ อาเซียน คัพ อยู่ตรงนี้ มันคือความคลั่งไคล้ในกีฬาลูกกลมๆ ของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มาตรฐานอาจจะห่างไกลในระดับทวีป แต่เมื่อใดที่ทัวร์นาเมนต์นี้กลับมาแข่งขัน ทุกทีมจะห้ำหั่นกันสะบั้นหั่นแหลก

เพราะคำว่า 'ศักดิ์ศรี' ที่ค้ำคออยู่ในทุกๆ เกมที่ลงสนาม

โดยเฉพาะประเทศใหญ่ ไล่ตั้งแต่ไทย, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย หรือเมียนมาร์ ต่างก็ไม่ยอมกันง่ายๆ เลยสักหน

ทัพช้างศึกเองก็ต้องพบกับภาวะกดดันจากภายใน เพราะอย่างที่เห็นและเป็นไป ไม่ว่าจะชุดใหญ่หรือชุดเยาวชน เราพุ่งชนความล้มเหลวเป็นว่าเล่น

หนสุดท้ายที่แฟนๆ ได้อิ่มเอมก็เป็น อาเซียน คัพ นี่แหละ แต่นั่นมันเกิดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆ อีกเลยในทุกช่วงอายุ

แถมเรื่องลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ก็ยังเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ที่ไม่ลงตัว กว่าที่ชนชาวสยามจะได้ชมกันแบบทั่วถึง ก็ปาไปเกมที่ 2 ของการแข่งขัน

มิตซูบิชิ อีเล็คทริค คัพ หนนี้จึงมาพร้อม 'ความกดดัน' แบบไม่อาจหลีกเลี่ยง

ดีหน่อยที่นัดล่าสุดไทย เอาชนะฟิลิปปินส์ ด้วยรูปเกมที่ถูกใจแฟนๆ มันจึงช่วยลดทอนเสียงวิพากษ์-วิจารณ์ได้พอสมควร

ดังนั้นเกมกับอินโดนีเซีย จะเป็นปราการด่านสำคัญที่จะพิสูจน์ว่าทัพช้างศึกชุดนี้ดีพอหรือไม่กับการป้องกันแชมป์

หากมีแต้มกลับมาถือว่าพอใช้ได้ แต่ถ้าชนะได้เลย ทุกๆ อย่างจะเดินหน้าได้สวยงาม เพราะความมั่นใจและความฮึกเหิมจะเพิ่มเติมไปจนถึงปลายทาง

ทุกอย่างๆ รออยู่ในอีก 90 นาที ข้างหน้านี้

ชิกกะด้าว


ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport