5 เสือเอเชีย!! วิเคราะห์ 5 ทีมเต็ง เอเชียน คัพ 2023

เอเชียน คัพ 2023 เปิดฉากอย่างเป็นทางการ ซึ่งแน่นอนว่า 'ทีมเต็ง' คงหนีไม่พ้น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อิหร่าน, ซาอุดีอาระเบีย และออสเตรเลีย ดังนั้น 'SIAMSPORT' จึงขันอาสามาวิเคราะห์ 5 เสือเอเชีย ว่าทีมใดมีโอกาสจะคว้าแชมป์มากที่สุด!?

[ 1 ] ญี่ปุ่น

ผลงาน: แชมป์ 4 สมัย (1992, 2000, 2004, 2011)

ผลงานปี 2019: รองแชมป์

ฟีฟ่า แรงกิ้ง: 20

จุดแข็ง: ปัจจุบันญี่ปุ่น ขยับมาตรฐานของตัวเองไปอยู่ในระดับโลกเรียบร้อยแล้ว พวกเขาสามารถล้มเยอรมัน และสเปน ได้ใน เวิลด์ คัพ 2022 ซึ่งนั่นคงจะพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ 'ระบบ'เยาวชน ที่วางโครงสร้างมานับสิบปีก็เริ่มออกดอกผล มันจึงทำให้ เดอะ บลู ซามูไร มีแท็กติกการเล่นที่ชัดเจน จนสามารถส่งใครลงสนามก็ได้เลยทีเดียว

จุดอ่อน: หากวัดกันในทวีป แทบจะหาข้อด้อยของญี่ปุ่น ไม่เจอเลย ตั้งแต่ผู้รักษาประตูไปจนถึงกองหน้า ขุนพลบูชิโดมีทรัพยากรผู้เล่นสูงมากๆ แต่เหตุการณ์ที่มักจะเกิดขึ้นกับพวกเขาบ่อยๆ คือเรื่องของสภาพจิตใจ เพราะเมื่อใดที่บุกหนักๆ แล้วทำสกอร์ไม่ได้ ญี่ปุ่น ก็มักจะค่อยๆ ท้อไปเอง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ยังแก้ไม่ตกมาจนถึงปัจจุบัน

จุดน่าสนใจ: นับตั้งแต่ปราชัยต่อโคลอมเบีย 1-2 เมื่อเดือนมีนาคม 2023 พวกเขาก็ชนะรวดในอีก 10 เกม ต่อมา ซึ่งทีมเหล่านั้นมีทั้งเยอรมัน กับตุรกี รวมอยู่ด้วย ดังนั้นการที่ไม่แพ้ใครยาวนานเช่นนั้นอาจจะเป็น 'ดาบสองคม' ที่ทำให้พวกเขาเพลี่ยงพล้ำคู่แข่งก็เป็นได้

เฮดโค้ช: ฮาจิเมะ โมริยะซุ กุนซือที่คุมทัพมาตั้งแต่ปี 2018 และก็ทำผลงานได้ดีทีเดียว เพราะมีเปอร์เซ็นต์ชนะสูงถึง 68.49 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะช่วงหลังที่สั่งลูกทีมบุกแหลกจนเป็นที่มาของการเอาชนะด้วยสกอร์ขาดลอยเกือบจะทุกนัดที่ลงสนาม

คีย์แมน: หากว่า คาโอรุ มิโตมะ ปีกจาก ไบร์ตัน ฟิตเต็มถัง เขาจะเป็นคนกำหนดเกมของญี่ปุ่น แต่ในเมื่อหมอนี่ยังไม่เต็มร้อย ก็ยังมี ทาเคฟูซะ คูโบะ แนวรุกฟอร์มกระฉูดของ เรอัล โซซียดาด ที่พร้อมจะกระชากกองหลังคู่แข่งให้ขาดวิ่นได้ทุกวินาที

โอกาสคว้าแชมป์: เต็งหนึ่งของทัวร์นาเมนต์ หากยังเล่นในฟอร์มเดิมที่ทำมาตลอดในช่วงหลัง ยังไงก็ยังเป็นทีมที่น่าจะเข้าวินในบั้นปลาย

[ 2 ] เกาหลีใต้

ผลงาน: แชมป์ 2 สมัย (1956, 1960)

ผลงานปี 2019: รอบ 8 ทีม สุดท้าย

ฟีฟ่า แรงกิ้ง: 27

จุดแข็ง: พละกำลังและทีมเวิร์ค ยังคงเป็นจุดขายที่เกาหลีใต้ ดูจะเหนือทีมอื่นๆ เผลอสองเรื่องนี้พวกเขาจะยืนอยู่เบอร์ต้นๆ ของโลกเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้การที่ ซน ฮึง-มิน อยู่ในช่วงท็อปฟอร์มก็น่าจะเพิ่มความฮึกเหิมให้คนอื่นๆ ไปด้วย

จุดอ่อน: ทัพโสมขาวชุดปัจจุบันแกร่งไม่แพ้ญี่ปุ่น เลยสักนิด เพราะไม่ว่าจะตำแหน่งใด พวกเขาก็มีนักเตะที่อยู่ในระดับท็อปของทวีป แถมบางรายยังเข้าขั้นระดับโลกไปแล้ว แต่มีจุดหนึ่งที่น่ากังวล คือศูนย์หน้าตัวเป้าที่ยังหาเพชฌฆาตที่วางใจไม่ได้เลย

จุดน่าสนใจ: แม้จะมี ซน ฮึง-มิน อยู่ในทีม แต่ถ้าเมื่อใดที่หมอนี่ถูกรุมประกบติด อานุภาพของเกาหลีใต้ ก็จะถูกลดทอนลงไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว 

เฮดโค้ช: เจอร์เก้น คลินส์มันน์ เพิ่งเข้ามาทำทีมได้เมื่อต้นปี 2023 พร้อมเป้าหมายใหญ่ใน เวิลด์ คัพ 2026 แต่เท่าที่ผ่านมามีข่าวในแง่ลบอยู่ประปราย จนทำให้สมาธิของทีมแกว่งไปบ้าง ทว่าถึงอย่างนั้นพะยี่ห้อเยอรมัน ก็น่าจะทำให้เขานำเกาหลีใต้ ไปได้ไกลบนถนนลูกหนัง

คีย์แมน: ซน ฮึง-มิน ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของทีมโดยตลอด ซึ่งผลงานอันร้อนแรงอย่างต่อเนื่องกับ สเปอร์ส น่าจะต่อยอดถึง เอเชียน คัพ แน่ๆ อยู่ที่ว่าท้ายที่สุดแล้วกัปตันวัย 31 ปี จะพาทีมไปจบตรงจุดใดเท่านั้นเอง

โอกาสคว้าแชมป์: การรอคอยกว่า 63 ปี กำลังจะถึงคราวยุติลงสักที หากว่าไม่ฟอร์มหลุดจนแพ้แบบพลิกล็อก ยังไงเสีย เกาหลีใต้ นี่แหละจะเป็นกระดูกชิ้นโตที่ต่อกรกับญี่ปุ่น ได้ดีที่สุด

[ 3 ] อิหร่าน

ผลงาน: แชมป์ 3 สมัย (1968, 1972, 1976)

ผลงานปี 2019: อันดับ 3

ฟีฟ่า แรงกิ้ง: 24

จุดแข็ง: หากนับเฉพาะเอเชีย ยังไงอิหร่าน ก็ไม่มีแพ้ใครง่ายๆ ต่อให้ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ จะก้าวไปถึงระดับโลก แต่พอมาเจอกับสิงโตแห่งเปอร์เซีย ก็ต้องพบกับความยากลำบากเสมอ เพราะนี่คือทีมที่อุดมไปด้วยเทคนิคอันแพรวพราวที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อได้ทุกวินาที

จุดอ่อน: ด้วยความที่เป็นทีมที่เล่นด้วยแท็กติกสุดเขี้ยวลากดิน เวลาเจอกับชาติในเลเวลใกล้เคียง มันจึงทำให้พวกเขายิงประตูคู่แข่งได้น้อยนิด ซึ่งถ้าขจัดปัญหาตรงจุดนี้ออกไปได้ อิหร่าน จะกลายเป็นพยัคฆ์ติดปีกเลยทีเดียว

จุดน่าสนใจ: อิหร่าน ขนนักเตะชุดที่ดีที่สุดมาในทัวร์นาเมนต์นี้ ซึ่งแต่ละรายก็กำลังอยู่ในช่วงพีกของอาชีพค้าแข้ง และการที่ไปไกลสุดเพียงรอบรองชนะเลิศในระยะหลัง (ล่าสุดคือปี 2004) มันจึงเป็นแรงผลักดันให้ทัพสิงโตแห่งเปอร์เซียมีแรงฮึดที่จะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

เฮดโค้ช: อามีร์ กาเลนอย กุนซือเจ้าของรางวัล 'โค้ชยอดเยี่ยม' ของลีกอิหร่าน 5 สมัย เพิ่งมารับงานต่อจาก คาร์ลอส เคยรอซ เมื่อต้นปี 2023 และก็พาทีมทำผลงานได้สุดสะเด่ากับการชนะถึง 11 จาก 13 เกม โดยไม่แพ้สักนัดเดียว

คีย์แมน: ในทีมอิหร่าน ชุดนี้มีนักเตะเก่งกาจมากมาย แต่คนที่น่าจะเป็นความหวังสูงสุดคือ เมห์ดี้ ตาเรมี่ ศูนย์หน้าดาวซัลโวลีกโปรตุเกส ซีซั่น 2022-23 ที่จะเป็นเครื่องจักรสังหารให้ทีมไปถึงฝั่งฝันสักที

โอกาสคว้าแชมป์: อิหร่าน ยังคงเป็นชาติที่แข็งโป๊กในย่านเอเชีย ทุกๆ ทัวร์นาเมนต์ที่พวกเขามีส่วนร่วม ยังไงก็ถูกยกให้เป็นตัวเต็ง แต่ด้วยความที่ทีมชุด เอเชียน คัพ 2023 ค่อนข้างสมบูรณ์พร้อม ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้ไม่น้อยเลยที่สิงโตแห่งเปอร์เซียจะก้าวไปหยิบโทรฟี่ได้เป็นหนแรกในรอบกว่า 47 ปี

[ 4 ] ซาอุดีอาระเบีย

ผลงาน: แชมป์ 3 สมัย (1984, 1988, 1996)

ผลงานปี 2019: รอบ 16 ทีม สุดท้าย

ฟีฟ่า แรงกิ้ง: 54

จุดแข็ง: ปัจจุบันลีกในประเทศเต็มไปด้วยนักเตะระดับโลกที่ย้ายเข้ามาเล่นมากมาย ด้วยเม็ดเงินมหาศาล ส่งผลให้ผู้เล่นซาอุดีอาระเบีย ที่เก่งอยู่แล้ว ค่อยๆ ฝีเท้าพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ และเมื่อบวกกับความเป็นชาติอาหรับที่เชื่อมือได้เลยเรื่องของทักษะ มันจึงมั่นใจได้เลยว่าทัพเหยี่ยวมรกตก็ไม่เป็นสองรองใครใน เอเชียน คัพ 2023 เช่นกัน

จุดอ่อน: ก่อนการมาของ โรแบร์โต้ มันชินี่ - ซาอุดีอาระเบีย เป็นทีมที่เล่นฟุตบอลเอนเตอร์เทน พวกเขาพร้อมบวกทุกทีมไม่ว่าจะเป็นใคร ซึ่งถ้าเกมใดทำได้ดีก็มีชัย อย่างเช่นการชนะอาร์เจนติน่า ในฟุตบอลโลก 2022 แต่ถ้าวันใดเล่นไม่ออก วันนั้นก็พร้อมจะช็อตดื้อๆ เลยเช่นกัน

จุดน่าสนใจ: ด้วยองค์ประกอบทุกค่อนข้างพร้อมในทุกๆ ตำแหน่ง โดยเฉพาะแนวรุกที่จัดจ้านมากๆ ทำให้ซาอุดีอาระเบีย คือทีมที่น่าจับตามองจริงๆ และเมื่อมี โรแบร์โต้ มันชินี่ ซึ่งเป็นจอมแท็กติกมาเป็นเฮดโค้ช มันยิ่งทำให้ทัพเหยี่ยวมรกตมีความกลมกล่อมในทุกๆ อณู

เฮดโค้ช: โรแบร์โต้ มันชินี่ พิสูจน์ฝีมือมาแล้วกับการนำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อีกทั้งยังพาอิตาลี ผงาดสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของยุโรป ในปี 2020 ซึ่งการเข้ามารับงานที่ซาอุดีอาระเบีย นั้นเขาคงปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จเพื่อเพิ่มโปรไฟล์ของตนเองอีกแน่นอน

คีย์แมน: ซาเล็ม อัล-ดอว์ซารี่ ปีกจอมพลิ้วตัวฉกาจ ที่เล่นฟุตบอลได้ชาญฉลาดและมักจะสอดเข้าไปทำประตูสำคัญได้บ่อยครั้ง และเมื่อผนวกเข้ากับ ไฟราวส อัล-บูไรคาน, ซาและห์ อัล-เชห์รี่, ฟาฮัด อัล-มูวัลลาด และ อับดุลลาห์ ราดิฟ มันยิ่งทำให้ซาอุดีอาระเบีย เป็นที่สยดสยองยิ่งกว่าเดิม

โอกาสคว้าแชมป์: หากว่าญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และอิหร่าน คือ 3 ทีม ที่ถูกยกให้เป็นเต็งแชมป์ - ซาอุดีอาระเบีย ก็คือ 'ม้ามืด' ที่ไม่อาจประมาทได้เลย โดยเฉพาะแนวรุกที่พร้อมลงโทษฝั่งตรงข้ามได้ทุกวินาที

[ 5 ] ออสเตรเลีย

ผลงาน: แชมป์ 1 สมัย (2015)

ผลงานปี 2019: รอบ 8 ทีม สุดท้าย

ฟีฟ่า แรงกิ้ง: 29

จุดแข็ง: ด้วยความที่มีผู้เล่นรูปร่างใหญ่มากมาย มันจึงทำให้ลูกกลางอากาศกลายเป็นจุดเด่นของออสเตรเลีย ในทุกยุคสมัย แม้ว่าสไตล์การเล่นจะไม่เคยเปลี่ยนไปเลย แต่ถึงอย่างนั้นการจะเอาชนะพวกเขาก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี

จุดอ่อน: การที่ออสเตรเลีย มีมิติการเล่นไม่หลากหลายนัก ทำให้พวกเขามักจะถูกจับทางได้ง่าย ซึ่งข้อนี้เองที่ทำให้ทัพซอคเกอร์รูส์มักจะจอดป้ายเพียงรอบน็อก-เอาต์อยู่เสมอ

จุดน่าสนใจ: ออสเตรเลีย ชุดนี้ผลักดันนักเตะอายุน้อยมากมาย จึงน่าจะเป็นยุคเปลี่ยนผ่านที่ทำให้พวกเขาเล่นฟุตบอลในแบบที่แปลกตาออกไป แต่จะทำได้ดีขนาดไหน อยู่ที่ผลงานในสนามเท่านั้น

เฮดโค้ช: เกรแฮม อาร์โนลด์ อยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 2018 และก็ค่อยๆ ปรับจูนให้ออสเตรเลีย ไม่เป็นทีมที่เล่นแต่ลูกโด่งเท่านั้น ซึ่งก็เป็นไปในทิศบวกซะด้วย และใน เอเชียน คัพ 2023 คงจะได้เห็นว่ากึ๋นการแก้เกมของกุนซือวัย 60 ปี นั้นเฉียบขาดเพียงใด

คีย์แมน: น่าเสียดายที่ การัง คูโอล แนวรุกดาวรุ่งไม่อยู่ในทีมชุดนี้ มิเช่นนั้นพวกเขาจะมีอาวุธเด็ดไว้กำราบคู่แข่ง ดังนั้นความหวังจึงไปตกอยู่กับ มิตเชลล์ ดู๊ก หัวหอกที่ทำสกอร์ได้มากที่สุดของออสเตรเลีย ชุด เอเชีย คัพ 2023 นั่นเอง

โอกาสคว้าแชมป์: แม้จะมีศักดิ์ศรีเป็นอดีตแชมป์ปี 2015 แต่เมื่อเทียบขุมกำลังกับชาติใหญ่ๆ ทีมอื่นๆ ต้องถือว่าออสเตรเลีย ยังเป็นรองพอสมควร ดังนั้นโอกาสที่พวกเขาจะก้าวไปสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของเอเชีย อีกครั้งคงจะยากยิ่งนัก


ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport