เมื่อ เจอร์เก้น คล็อปป์ ตกเป็นเหยื่อของนักข่าว

เรื่องมันมีอยู่ว่า หลังจบเกมแดงเดือดเมื่อคืนวันอาทิตย์ เจอร์เก้น คล็อปป์ ตกเป็นประเด็นที่ไปใช้คำว่า Dumb กับคำถามของ นีลส์ คริสเตียน เฟรเดอริคเซ่น นักข่าวชาวเดนมาร์ก

เฟรเดอริคเซ่น ไปถามว่า ทำไม ลิเวอร์พูล ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการมีความกระตือรือร้นในการเล่นสูงถึงไม่สามารถทำแบบนั้นได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ

คำถามดังกล่าวทำให้ คล็อปป์ ฉุนพอตัวแล้วก็พูดไปว่าเป็น คำถามที่งี่เง่า

แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็ตอบโต้กันเล็กน้อย แล้ว คล็อปป์ ก็ยกเลิกให้สัมภาษณ์ไป

จนกระทั่งต่อมา เหยี่ยวข่าวรายนั้นไปให้สัมภาษณ์กับ เดลี่ เมล เปิดใจว่าถึงกับงงกับอากัปกิริยาของ คล็อปป์ และบอกต่อว่า คล็อปป์ ยังพูดต่ออีกตอนที่กล้องไม่ได้ถ่ายทำแล้ว

...

ย้อนไปสมัยที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังเป็นผู้จัดการทีม 

ในช่วงพีค ๆ ของเขา เฟอร์กี้ ถือเป็นคนที่มักออกอาการเต็มที่เวลาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวจากทีวีหลังจบเกม หรือที่เขาชอบเรียกว่าเป็น -การโดนกล้องสอบปากคำ-

"คุณไม่มีวันรู้หรอกว่าอารมณ์มันเป็นยังไง" เขาเคยพูดแบบนั้น

"บางครั้งคุณจะแพ้มาหมาด ๆ แล้วต้องมาอยู่หน้ากล้องโดยที่คนทั่วโลกจับตาดูคุณจนเหมือนทะลวงเข้าไปในวิญญาณของคุณ"

อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวสำหรับตากล้อง, คนที่ถือไมโครโฟน หมดทุกคน หรือกระทั่งคนที่ถือปากกากับกระดาษที่อยู่ใกล้ ๆ 

อดีตบรมกุนซือชาวสกอตต์ สามารถข่มขวัญคนอื่นได้ง่าย ๆ ซึ่งสาเหตุเดียวที่ออร่าแบบนั้นเกิดขึ้นได้ก็เป็นเพราะเขาประสบความสำเร็จอย่างมาก 

ในช่วงปีท้าย ๆ กับการคุมทีม เฟอร์กูสัน ไม่จำเป็นต้องมีคนจากวงการสื่อมาเป็นเพื่อนแม้แต่คนเดียว เพราะบรรดาถ้วยแชมป์ที่ประดับอยู่ในตู้โชว์ของ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เป็นตัวช่วยที่ดีพอสำหรับเขา 

สมัยนั้นถือว่าน่าสนใจมาก ๆ ที่เขาเองก็ยังเครียดกับการให้สัมภาษณ์กับสื่อ แต่มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่เขารู้สึกแบบนั้น

บรรดาผู้จัดการทีมฟุตบอลและนักฟุตบอลจะอยู่ในสภาพที่อ่อนไหวที่สุดก็ตอนยืนอยู่ในพื้นที่การให้สัมภาษณ์ของสนาม

ช่วงนั้นอะดรีนาลีนของพวกเขายังไหลเวียนอยู่เต็มร่างและเหงื่อก็ยังไม่หายไป ความสำเร็จต่าง ๆ มันไม่ได้เป็นเกราะที่จะช่วยปกป้องคุณจากเรื่องเหล่านั้นได้

...

ส่วนของ คล็อปป์ กับสิ่งที่เขาทำ ถือเป็นพฤติกรรมที่ต่างไปจากปกติ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจอะไร 

ทุกวันนี้มันมีนักข่าวจากสื่อที่ถือลิขสิทธิ์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่โผล่มาสัมภาษณ์แบบดื้อ ๆ ทั้งในช่วงก่อนและหลังเกมใหญ่ ๆ มากขึ้นจนจำนวนสามารถแตะเลข 2 หลักได้เลย แถมพอผ่านไปแต่ละฤดูกาลแล้วนั้นจำนวนดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนคนเป็นกุนซือก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมเปิดปากกับสื่อเหล่านั้น มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องยอมทำเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินก้อนโตจากทีวีและสถานีวิทยุที่หลั่งไหลเข้าสู่วงการฟุตบอลอังกฤษอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจากเกมล่าสุดจึงมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นอีกก็ได้ และแน่นอนว่าความตึงเครียดระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายเลยอาจจะยังมีให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

คนเป็นกุนซือจะมีอาการเครียดและไม่มีเวลามากพอที่จะทำให้ตัวเองใจเย็นลง ต่างกับเวลาพูดในงานแถลงข่าวซึ่งกินเวลา 45 นาทีหรือมากกว่านั้น เพราะกว่าที่จะไปร่วมงานแถลงข่าวได้นั้นมันก็ต้องใช้เวลาหลังจบเกมไปแล้วครู่หนึ่ง 

ดังนั้นการพูดกับสื่อที่ดักรออยู่เลยอาจจะมีคำที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองได้บ้าง ขณะที่นักข่าวจากทีวีเองก็เจองานยากเหมือนกัน

จอฟฟ์ ชรีฟส์ นักข่าวจาก สกาย ที่ประจำอยู่ข้างสนามอาจจะเป็นคนที่ทำหน้าที่ด้านนี้ได้ดีที่สุดในวงการ 

เขาเคยบอกว่า "สิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องที่ว่าผมอยากถามอะไร แต่เป็นการคิดถึงเรื่องที่ว่าคนดูของเราอยากถามอะไร พวกเขาอยากจะรู้เรื่องอะไร ? การยิงคำถามในแบบที่ให้ความเคารพและสมเหตุสมผลถือเป็นเรื่องที่น่าท้าทายเหมือนกัน"

"การถามคำถามแรกมันอาจจะเป็นงานที่ท้าทาย และมันก็อาจจะต้องมีการถามคำถามเพิ่มต่อทันทีด้วย ผมไม่อยากให้คนที่ผมสัมภาษณ์ด้วยทิ้งผมไปหลังถามแค่คำถามเดียวอยู่แล้ว จริงไหมล่ะ ? เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมันก็เท่ากับว่าผมทำให้คนดูของผมผิดหวัง"

"คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงประเด็นได้ เพราะมันจะเท่ากับว่าคุณไม่ได้ทำงานของตัวเองอย่างเหมาะสม คุณรู้ดีว่ามันจะเป็นประเด็นที่อ่อนไหว"

"สิ่งที่สำคัญเลยเป็นการใช้น้ำเสียงกับโทนเสียงของคำถามให้เหมาะสม"

"ถ้าคุณไม่สนสถานการณ์จนถามผู้จัดการทีมทันทีว่า -กลัวที่จะโดนปลดรึเปล่า- แล้วล่ะก็ มันมีโอกาสสูงมาก ๆ ที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาแบบไม่สวย"

"ดังนั้นมันเลยหมายความว่าคุณจำเป็นต้องหาวิธีอื่นในการถามถึงประเด็นนั้นโดยที่มีวัตถุประสงค์หลักว่ายังต้องถามเกี่ยวกับเรื่องนั้นให้ได้"

"คุณไม่จำเป็นต้องยิงคำถามแบบตรง ๆ ก็ได้ แค่ต้องหาทางที่จะทำให้รู้ว่าคุณจำเป็นต้องไปยังจุดไหน"

...

บางครั้งคนเป็นผู้จัดการทีมก็เป็นพวกที่อ่านใจได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์ในสถานการณ์ไหนก็ตาม 

บางคนเปิดใจมากกว่าคนอื่น ๆ ขณะที่บางครั้งพวกเขาก็โดนถามถึงความจริงที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ไม่สามารถโต้แย้งได้ 

แน่นอนว่าคำถามที่มีคำตอบแบบปลายเปิดนั้นสามารถพูดอ้อม ๆ แต่ความจริงที่แย้งไม่ได้ เช่นเรื่องอันดับในลีกหรือการแพ้ติดต่อกันนั้นจะส่งผลกระทบกับพวกเขามากกว่า

คล็อปป์ ไม่ชอบใจกับการตั้งประเด็นว่าทีมลิเวอร์พูลของเขาไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นกับเกมเมื่อวันอาทิตย์หลังจากที่เกมเตะกันไปพักใหญ่ 

ขณะที่ 1 วันก่อนหน้านั้น อังเก้ ปอสเตโคกลู ผู้จัดการทีม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ก็ฉุนขาดเช่นกันที่โดนถามถึงเรื่องที่ สเปอร์ส ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างหนักกับการลุ้นพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก ภายหลังแพ้ ฟูแล่ม

หลังจากนี้ทั้ง 2 คนอาจจะนึกย้อนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วมองว่าตัวเองควรจะรับมือกับมันให้ดีกว่านี้ 

แต่ไม่มีใครที่เจ็บตัวจากเรื่องที่เกิดขึ้นเลย หมายถึงมันไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายกันแต่อย่างใด 

งานคุมทีมถือเป็นงานที่ต้องใช้อารมณ์สูงมาก และบางครั้งอาจจะคุมอารมณ์ไม่อยู่จนไปสู่การระเบิดอารมณ์

ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา

HOSSALONSO



ที่มาของภาพ : getty image
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport