ลิเวอร์พูล เสมอ แมนซิตี้ กับ ความเชื่อแข็งแกร่งที่ก่อตัวอีกมหาศาล

"มันเป็น 53 นาทีที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นเราเล่นกับแมนฯ ซิตี้"

เยอร์เก้น คล็อปป์ บอกกับนักข่าวอย่างนั้นหลังจบเกมที่แอนฟิลด์เมื่อคืนวันอาทิตย์

ผมเห็นด้วย แต่ก็ยังมีอีกเกมที่อยากจะเสริมเขาเช่นกัน

เกมนี้เป็น 53 นาที (45 บวกทดเวลา 8 นาที) ที่ดีสุดยอดจริงๆ เราไม่ค่อยเห็นทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถูกใครกดใส่จนแทบโงหัวไม่ขึ้นอย่างนี้หรอก แต่กระนั้น 45 นาทีแรกของเกมที่ลิเวอร์พูลบดขยี้ซิตี้พังพินาศในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2018 ก็ยังคงฝังอยู่ในใจ สลัดไม่หลุด

พลังของเสียงเชียร์ในแอนฟิลด์ที่ปลุกเร้าดุเดือด การไล่บดขยี้เดินเครื่องด้วยเกียร์ห้าเต็มสูบ บรรยากาศเร้าใจในเกมแห่งความสะใจค่ำคืนนั้นมันสมบูรณ์แบบ เป็น 45 นาทีที่มีความสุขเปี่ยมล้น มันดีที่สุดเลยสำหรับผม

ลิเวอร์พูลมีเกมแห่งความทรงจำมากมาย มีผลงานที่น่าประทับใจจนอยากจะร้องไห้ด้วยความปลื้มอีกเพียบ ใครจะลืมเกมยำใหญ่บาร์เซโลน่า 4-0 คืนนั้นอีกเล่า หรือเกมมาสเตอร์พีซตลอดกาลอย่างวันที่ถล่มแมนฯ ยูไนเต็ด 7-0 เกมบอมบ์บอร์นมัธเละเป็นโจ๊ก 9-0 ก็มี

แต่กับ แมนฯ ซิตี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกที่จะทำกับพวกเขาอย่างนั้น หลายเกมลิเวอร์พูลเป็นรองด้วยซ้ำ ด้วยคุณภาพของผู้เล่นเรือใบสีฟ้าสูงแค่ไหนทุกคนคงรู้

คล็อปป์ถึงได้พูดประโยคนั้นออกมา "มันเป็น 53 นาทีที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นเราเล่นกับแมนฯ ซิตี้"

ความแตกต่างระหว่างเกมเมื่อคืนที่ผ่านมากับรอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดแรกถ้วยบิ๊กเอียร์ในวันนั้นคือความเด็ดขาด วันนั้นแค่ครึ่งชั่วโมงลิเวอร์พูลก็นำห่างไปแล้ว 3-0 และทั้ง 3 ประตูล้วนเฉียบคม ใครจะลืมลูกตะบันของ อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ลูกนั้นได้ลง

ลิเวอร์พูลน่าจะเป็นผู้ชนะในการศึกเมื่อคืนนี้ถ้ามีความเด็ดขาดอย่างเกมนั้น

----------

ความมั่นใจที่กำลังหดหายของ หลุยส์ ดิอาซ ทำให้โอกาสทองที่เขาได้รับแปรเปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้

หลังยิงหลุดกรอบออกไปจากการหลุดเดี่ยว อีกแค่นาทีเดียวให้หลังดาวเตะโคลอมเบียก็มีโอกาสทองอีกครั้งจากบอลเปิดทางขวาของ ดาร์วิน นูนเญซ ที่เจ้าตัวเลือกจับบอลแทนที่จะยิงเลยในจังหวะแรกจึงทำให้ถูก ไคล์ วอล์คเกอร์ ตามมาจิ้มบอลทิ้งไปได้

เป็นเรื่องความมั่นใจล้วนๆ ที่ทำให้การตัดสินใจของดิอาซไม่เป็นไปตามธรรมชาติ มันเหมือนกับช่วงท้ายเกมที่ โกดี้ คักโป ลังเลไม่กล้ายิงและเลือกไหลบอลให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงแทนจนเสียโอกาสไปนั่นล่ะ

ความมั่นใจ.. บางครั้งมันก็หายไป บางครั้งมันก็กลับมา ฤดูกาลนี้หลายคนเรียกความมั่นใจให้ตัวเองได้มาก เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ดาร์วิน นูนเญซ เคอร์ติส โจนส์ โจ โกเมซ แต่ ดิอาซ กับ คักโป ทำมันหายไปและยังคลำหามันไม่เจอ

เวลานี้น่าจะเหลือเพียงเขาสองคนเท่านั้นที่ถูกพรากความเชื่อมั่นไป แต่รายของดิอาซยังมีการตอบสนองเรื่องเกมการเล่นมาช่วย ทว่าคักโปช่วงนี้ดร็อปลงไปแทบทุกด้านจริงๆ

ไม่ใช่ว่าทั้ง 2 คนเป็นนักเตะที่ไม่ดี แค่เราต้องรอให้เขากลับมา เหมือนที่การรอคอยในตัวดาร์วิน โจนส์ และโกเมซกำลังตอบแทนทุกคนอยู่ในตอนนี้

เยอร์เก้น คล็อปป์ กับเพื่อนร่วมทีมยังไว้วางใจและสนับสนุนทั้งคู่อย่างเต็มที่ ทุกคนยังรอวันนั้น

กับ 90 นาทีของเกมที่แอนฟิลด์เมื่อคืนวันอาทิตย์ แฟนบอลลิเวอร์พูลคงไม่ร้องขออะไรอีกสำหรับผลงานที่ปรากฏให้เห็นในสนาม ไม่อาจเรียกร้องอะไรจากนักเตะมากไปกว่านี้อีกแล้ว

ความทุ่มเท ดุดัน ดีเดือด ทีมเวิร์ค ความจริงจังกับการเป็นผู้ชนะ ทุกอย่างตอบสนองออกมาด้วยการเล่นที่ทุกคนมองเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครึ่งเวลาหลังที่เป็นหนึ่งในการเล่นที่ดีที่สุดจริงๆ

เกมเพรสซิ่งที่ไร้ความปราณีและเสียงเชียร์ในแอนฟิลด์บดขยี้เกมของซิตี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจุดพลิกผันสำคัญตั้งแต่นาทีแรกของครึ่งหลังที่ เนธาน อาเก้ ส่งบอลคืนหลังพลาดครั้งเดียวเกมพลิกกระดานทันที

ยิ่งเมื่อคล็อปป์ส่ง ซาลาห์ กับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ลงมาแทน คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ กับ โดมินิก โซโบซไล ในช่วงหนึ่งชั่วโมงของเกม เกมของหงส์แดงก็ยิ่งข้นคลั่กขึ้นไปอีก เพียงสัมผัสครั้งแรกๆ เท่านั้น ซาลาห์ ก็จ่ายบอลคิลเลอร์พาสลูกนั้นให้ดิอาซได้แล้ว

ลิเวอร์พูลโหมบุกราวพายุอุกาบาตถล่มโลก บุกเข้าใส่ บอลกระดอนออกมาก็เก็บจังหวะสองกลับไปบุกเข้าใส่อีก บอลกระเด้งออกมาก็รุมบีบแย่งเอามันกลับมาบุกเข้าใส่อีก

พลาดไปก็เอาใหม่ พลาดไปก็เอาใหม่ หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง สี่ครั้ง.. ราวกับเครื่องจักรไร้ความเหน็ดเหนื่อย

กระทั่ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังบรรยายพายุการบุกอย่างบ้าคลั่งของลิเวอร์พูลว่าอย่างกับคลื่นยักษ์สึนามิ ในสนามก็เจอการบุกที่มาจากทุกทิศทุกทาง เจอกับความเข้มข้นของเกมที่ลิเวอร์พูลทะลุขึ้นไปอยู่ในโมเมนตัมที่ทีมของเขาไปไม่ถึง นอกสนามก็เสียงเชียร์ปลุกเร้าดังกระหึ่มจนตะโกนคุยกันไม่ได้ยินจากเดอะค็อปเกือบหกหมื่นชีวิต

ในมุมของแฟนบอลลิเวอร์พูล ผมมีความสุขและภูมิใจกับสิ่งที่ได้เห็น การโขยกใส่ซิตี้แบบไม่ให้หายใจหายคออย่างนี้เป็นแรร์ไอเท็ม เป็นของหายากที่นานๆ จะมีสักครั้ง

ซิตี้ถูกกดหนักถึงขนาดที่ เป๊ป ต้องถอด เควิน เดอบรอยน์ ออกเพื่อส่ง มาเตโอ โควาซิช ลงไปช่วย โรดรี้ กับ จอห์น สโตนส์ ที่กำลังจะหายใจไม่ทันอยู่แล้วในแดนกลาง ไปช่วยเก็บบอล ช่วยชะลอเกมที่เร็วจี๋ตามไม่ทันให้ช้าลงบ้าง

มันคือการแก้เกมอย่างฉุกละหุกเพื่อเอาตัวรอด ไม่ใช่แท็คติกที่จะเกิดขึ้นบ่อยๆ เลยสำหรับทีมเรือใบสีฟ้า เพียงแต่ เป๊ป ก็ยังไว้ลายด้วยการทิ้งไพ่ทีเด็ดอย่าง เฌเรมี่ โดกู ลงไปแทน ฮูเลียน อัลวาเรซ ในเวลาเดียวกัน

ยามที่บอลไปถึงโดกู ซิตี้ดูคุกคาม น่ากลัว และส่งรังสีแห่งความน่าหวาดหวั่นออกมา ลูกยิงชนเสาก่อนหมดเวลานาทีเดียวนั้นคือสิ่งยืนยัน

เกมนี้มีจังหวะที่น่าพูดถึงอยู่ไม่น้อย นอกจากประเด็นดราม่าเรื่องจุดโทษหรือไม่จุดโทษของโดกูที่แทบจะกลบความยอดเยี่ยมของเกมไปเลยแล้ว การดวลกันตัวต่อตัวระหว่าง ฟาน ไดค์ กับ เออร์ลิง ฮาลันด์ ในนาทีที่ 38 ยังเป็นภาพที่ผมประทับใจ

ผมมองมันเป็นจังหวะที่สวยงามของเกมฟุตบอล โอกาสต้องเป๊ะจริงๆ เท่านั้นเราถึงจะได้เห็นภาพแบบนี้

ฮาลันด์ได้บอลหลุดขึ้นไปดวลกับ ฟาน ไดค์ แบบเดี่ยวๆ ตรงๆ คนอื่นไม่ต้องยุ่ง มันคือการดวลกันตัวต่อตัวจริงๆ ระหว่างกองหน้าอันดับหนึ่งกับกองหลังอันดับหนึ่ง เป็นภาพที่หลายคนอาจจะฝันอยากเห็นมานาน

ความนิ่งของ ฟาน ไดค์ ในการรักษาระยะห่างไม่เข้าพรวดทำให้ ฮาลันด์ ไม่มีโอกาสกระชากขาดวิ่นอย่างที่เคยทำมานักต่อนัก แต่ดาวยิงซิตี้ก็ยังทำได้ดีที่สุดด้วยการแต่งบอลให้ตัวเองได้สับไกยิงด้วยเท้าซ้ายข้างเก่งแม้จะยิงไม่ถนัดจนไม่มีอันตรายก็ตาม

ฟาน ไดค์ คือแมนออฟเดอะแมตช์สำหรับผมในเกมนี้ เขาควบคุมทุกอย่างในมือ สั่งการลูกทีม บัญชาเกมรับ ป้องกันประตู ตามเก็บงานที่น้องทำพลาด กระตุ้นทุกคนตลอดเวลา และยังเป็นคนเริ่มตั้งเกมบุก ครองบอลเยือกเย็น นิ่ง แถมวางบอลยาวก็ยังแม่นยำ

สภาวะความเป็นผู้นำสูงมาก และเกมนี้เขาก็ฉายแคแร็กเตอร์นี้ออกมาให้เห็นอีกครั้ง

วาตารุ เอนโด กับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ คือแมนออฟเดอะแมตช์อีกสองคนสำหรับผม ถ้าจะแพ้ ฟาน ไดค์ ก็แค่นิดเดียว หรือถ้าหลายๆ คนจะยกให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์ก็ไม่มีอะไรโต้แย้ง เพราะทั้งสองคนเล่นได้เมามันจริงๆ

คล็อปป์บอกว่าเขาไม่มีวันลืมผลงานในค่ำคืนนี้แน่ ผมคิดว่าแฟนบอลมากมายก็คงรู้สึกเหมือนกัน เหมือนที่ผมยังจำความรู้สึกวันนั้นที่กะซวกซิตี้ห่าง 3-0 ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงแรกของเกมได้ไม่ลืม

ในวันที่ลิเวอร์พูลมาครบทั้งพลัง ความฮึกเหิม และเสียงเชียร์เขย่าโลกแห่งแอนฟิลด์ มันเป็นเรื่องยากจริงๆ สำหรับคู่แข่งที่จะรับมือ และซิตี้ก็ทำได้ดีมากที่เอาตัวรอดกลับไปได้

ทีมของเป๊ปได้แต้มสำคัญกลับบ้านอย่างสะบักสะบอม แต่แน่นอน.. มันคือแต้มใหญ่ของแชมป์เก่า เสียงหัวเราะใส่พวกเขาในวันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก สู้ไม่ได้ก็คือสู้ไม่ได้ ทุกทีมต่างก็ต้องเคยสัมผัสประสบการณ์สู้ไม่ได้มาด้วยกันทั้งนั้น ลิเวอร์พูลเองก็เคย

แต่สิ่งสำคัญคือซิตี้ได้แต้ม อย่างน้อยก็เป็นไปตามเป้าหมายขั้นต้นว่าห้ามแพ้เด็ดขาด ผมเชื่อว่าเป๊ปและทีมของเขาพอใจกับคะแนนนี้

ส่วนลิเวอร์พูล มันอาจจะเป็นความรู้สึกเหมือนเสีย 2 คะแนนไปมากกว่า 1 คะแนนที่ได้มา แต่อันที่จริงแล้วนอกจากผลเสมอนี้จะไม่ได้เสียหายจนเกินไปนักและ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล ยังมีเกมที่ต้องมาตัดแต้มกันเองแล้ว พวกเขายังได้สิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งอาจจะล้ำค่ากว่ามากมาทดแทนด้วย

มันคือความเชื่อ..

ความเชื่อที่อาจจะเคยหายไปแล้ว ความเชื่อที่อาจจะพร่องลงไปบ้าง ความเชื่อที่อาจถูกกระทบจากสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามรายทาง

เล่นกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้อย่างนี้ ความเชื่อจากทุกๆ คนกลับมาเต็มพิกัด

จะต้องกลัวใครอีก จะต้องกังวลอะไรอีก..

เล่นได้อย่างนี้ไม่ต้องไปกลัวอะไรแล้ว เดินหน้าลุยอย่างเดียวใน 10 เกมสุดท้ายของฤดูกาล

โอกาสยังอยู่ในมือตัวเอง มาร่วมทำมันให้เป็นจริงกันอีกครั้ง ด้วยความเชื่อแข็งแกร่งที่ก่อตัวขึ้นมาอีกมหาศาลจากเกมนี้

ตังกุย


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport