ลิเวอร์พูล : มีความกดดันปกคลุมอยู่ก่อนลงสนาม

จาก 5 คะแนนที่เคยนำอยู่บนตาราง ลิเวอร์พูล พบตัวเองหล่นไปเป็นอันดับสองก่อนเสียงนกหวีดเริ่มเกมที่แอนฟิลด์จะดังขึ้น

ความปราชัยต่ออาร์เซน่อลที่ลอนดอนบวกกับชัยชนะ 2 เกมติดต่อกันของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปลี่ยนสถานการณ์บนตารางคะแนนอย่างรวดเร็ว ซิตี้ทะยานขึ้นไปยึดตำแหน่งจ่าฝูงได้ตามคาด ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่ปล่อยโอกาสที่เปิดให้หลุดลอยไป

คำถามเกิดขึ้นตามมาตั้งแต่ก่อนเตะ ความพ่ายแพ้แบบพังพาบต่อทีมปืนใหญ่จะกระทบต่อความมั่นใจแค่ไหน การตอบสนองของนักเตะทุกคนจะเป็นอย่างไรเมื่อคุณเพิ่งถูกถีบหล่นจากจ่าฝูงด้วยความเขี้ยวลากดินของทีมเรือใบสีฟ้าที่สุดท้ายยังสามารถหาทางปิดจ๊อบเก็บสามคะแนนได้สำเร็จ

คู่ต่อสู้อย่าง เบิร์นลี่ย์ อาจไม่ใช่ทีมที่น่าเกรงขามมากเท่ากับทีมใหญ่รายอื่นๆ แต่การถูกจับตามอง สถานการณ์ที่พลิกผัน และความกดดันทำให้เดอะค็อปอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้เหมือนกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกมครึ่งแรกผ่านไปสักระยะหนึ่ง เราก็มองเห็นกันชัดเจนว่า งานนี้.. ไม่ง่าย

แว็งซองต์ ก็องปานี เคยมาเยือนแอนฟิลด์ 8 ครั้งสมัยเป็นนักเตะ ยังไม่เคยชนะได้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขามารังเหย้าของลิเวอร์พูลในฐานะผู้จัดการทีม

ผลการแข่งขันออกมาเหมือนเดิม กลายเป็นเกมที่ 9 เข้าไปแล้วที่ก็องปานีชนะที่แอนฟิลด์ไม่ได้ ทว่าก็น่าปรบมือให้กับการวางแผนมาเป็นอย่างดีที่สุดของเขา

เบิร์นลี่ย์เล่นได้ดี มั่นใจ มีแบบแผน มีเป้าหมาย ไม่ใช่เล่นอย่างสะเปะสะปะ เคลื่อนตัวช่วยกันปิดพื้นที่ ดึงเกมหงส์แดงให้ช้าไม่เปิดช่องให้ผ่านบอลเข้าสู่แดนสามง่ายๆ แล้วยังจ้องอ่านจังหวะตัดบอลหรือเข้าแย่งบอล ทำได้เมื่อไหร่ตอบโต้กลับด้วยความเร็วทันทีโดยเล่นงานพื้นที่แนวหลังที่แผงแนวรับเจ้าถิ่นดันขึ้นสูง

มีนักเตะที่เหมาะสำหรับการเล่นวิธีนี้อย่าง วิลซง โอโดแบร์ ปีกซ้ายที่มีความเร็ว และ ดาวิด โฟฟาน่า ศูนย์หน้าร่างใหญ่เก็บบอลได้และมีความคล่อง หาพื้นที่เก่ง

ความยุ่งยากที่เพิ่มขึ้นก็คือในครึ่งแรกลิเวอร์พูลเปิดโอกาสให้เบิร์นลี่ย์ได้เล่นในเกมของตัวเองเกือบตลอดทาง เกมช้า ความแม่นยำน้อยกว่าที่เคยเป็น สัมผัสไม่ได้เลยถึงพลังในการเล่น

ลิเวอร์พูลดูขาดพลังและความกระหายที่จะเป็นผู้ชนะ แน่นอนพวกเขาย่อมอยากชนะอยู่แล้ว มีใครบ้างลงสนามไปแล้วไม่อยากเป็นผู้ชนะ แต่การตอบสนองในภาพรวมที่ออกมาไม่ได้ทำให้รู้สึกอย่างนั้น กลายเป็นครึ่งแรกที่เซื่องซึมเกินคาดคล้ายความมั่นใจยังกระเด็นตกหล่น

วาตารุ เอนโด อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ เคอร์ติส โจนส์ ไม่มีใครเล่นได้โดดเด่นสักคนและทำให้เกมในแดนกลางไม่ได้กดผู้มาเยือนแบบไม่เปิดโอกาสให้ตั้งหลัก

ลิเวอร์พูลขาดแพสชั่นที่เคยมีในครึ่งแรก มันส่งผลให้สถานการณ์ยังอยู่ในระดับ 50/50 อาจจะยิงได้ อาจจะยิงไม่ได้ หรือขณะเดียวกันก็อาจจะโดนได้เช่นกัน เบิร์นลี่ย์ให้ลิเวอร์พูลครองบอลแต่พวกเขาไม่ยอมถูกกดดันง่ายๆ จังหวะตอบโต้ที่ทำได้ดีหลายครั้ง วูบวาบน่ากลัวขู่เจ้าถิ่นให้ต้องระวังให้มาก

มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ทุกทีมเป็นอย่างนี้ จะต้องมีเกมที่ดูเหมือนทุกคนช็อตกันไปหมด เร่งไม่ขึ้น หรือเนือยกว่าที่เคยเป็น โจทย์ก็คือเมื่อมันเกิดขึ้นคุณสามารถหาทางแก้ไขได้ทันท่วงทีไหม จัดการแก้มันได้ภายใน 90 นาทีหรือเปล่า

จะว่าไปลิเวอร์พูลโชคดีอยู่เหมือนกันที่คุณภาพของเบิร์นลี่ย์มีน้อย พวกเขามีการวางแผนที่ดี เล่นได้ตามที่ตั้งใจ มีวินัยมีสมาธิ และมีโอกาสได้ลงโทษด้วย เพียงแต่ความเด็ดขาดคือปัญหาใหญ่

24 เกมที่ผ่านมาทีมของก็องปานีทำประตูได้เพียง 24 ลูกเท่านั้น มีเพียง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับสุดท้ายที่ยิงได้น้อยกว่า

โอกาสมี แต่ทำไม่ได้ วางแผนดี เล่นดี แต่ถึงคราวชี้เป็นชี้ตายลงโทษคู่ต่อสู้ไม่ได้ นี่คือปัญหาของทีมระดับเบิร์นลี่ย์ที่รั้งอันดับรองสุดท้ายต้องดิ้นรนหนีตกชั้น

ลิเวอร์พูลอึดอัดกับการหาโอกาสทำประตู บอลโอเพ่นเพลย์แทบไม่ทำงาน จังหวะประสานงานสวยๆ หลุดเข้าเขตโทษมีน้อย แต่ยังมีลูกตั้งเตะที่เป็นอาวุธ

เบิร์นลี่ย์ทำได้ดีมาตลอดจนกระทั่งเสียประตูแรกจากลูกเตะมุมที่ เจมส์ แทร็ฟฟอร์ด กะจังหวะพลาด มันเพียงพอที่จะถูก ดีโอโก้ โชต้า ลงโทษ แต่พวกเขาก็ทวงคืนด้วยลูกเตะมุมเช่นกัน

มันคือการเตรียมตัวมาเพื่อจังหวะแบบนี้โดยเฉพาะ บอลเป็นรองโอกาสมีน้อยต้องใช้ให้เกิดประสิทธิภาพที่สุด และลูกตั้งเตะคือโอกาสหนึ่งที่จะทำอย่างนั้นได้

บอลโค้งหนีมือนายประตู เป้าหมายอยู่แถวจุดโทษทำให้ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ออกมารับบอลไม่ได้ และ ดารา โอเช ก็โหม่งได้สมบูรณ์แบบทั้งน้ำหนักและทิศทางโดยที่รอบตัวเขามีเพื่อนช่วยดึงความสนใจของผู้เล่นหงส์แดงไปหมด

ครึ่งหลังนักเตะลิเวอร์พูลกลับมาลงสนามด้วยเกมที่เร็วขึ้น ดุดันขึ้น กระฉับกระเฉงกว่าเดิม คงจะได้ยาแรงจาก เยอร์เก้น คล็อปป์ มาเต็มอิ่ม

คล็อปป์เองก็ไม่ประมาทกับการเจ็บเข่าเล็กน้อยของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ การไม่มีทั้ง โจ โกเมซ และ คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ อยู่ข้างสนามประกอบกับสถานการณ์ที่ทีมต้องการประตูนำอีกครั้งทำให้เขายอมเสี่ยงส่ง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ลงมาแทน

เป็นการเปลี่ยนที่ไม่ตรงตำแหน่ง ถอดกองหลังออก ส่งกองกลางลง แต่การลงสนามของเอลเลียตต์ตอบโจทย์ที่ลิเวอร์พูลกำลังต้องการ

แดนกลางมีตัวเชื่อมที่ขยัน คล่องแคล่ว วิ่งขึ้นลงขยับเข้าไปเป็นตัวเลือกให้เพื่อนตลอดเวลา เป็นการเพิ่มความสดและความเร็วของเกมเพราะบอลจะถูกปล่อยจากเท้าเร็วขึ้น ขณะที่โจนส์ถอยไปยืนแบ๊กขวาจำเป็น ถามว่าเสี่ยงไหมก็เสี่ยงเพราะเขาต้องรับมือกับโอโดแบร์ที่จัดจ้าน แต่ เอลเลียตต์ กับ จาเรลล์ ควอนซาห์ เซนเตอร์แบ๊กฝั่งขวาจะคอยขยับมาช่วยซ้อนไม่ปล่อยให้ต้องดวลกันตามลำพัง

เกมของลิเวอร์พูลสดชื่นขึ้นและมีช่องทางทำประตูมากขึ้น มีบอลโยนเข้าเขตโทษกดดันเพิ่มเติมซึ่ง 2 ประตูที่ได้ในครึ่งหลังก็มาจากการหยอดบอลเข้ากลางทั้งคู่

การโยนบอลของลิเวอร์พูลน่าสนใจ คือเลือกใช้การหยอดบอลโรยๆ ไม่พุ่งแรงมากนักเพื่อให้คนที่เล่นลูกกลางอากาศดีอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของตัวเอง ปราการหลังชาวดัตช์ได้โอกาสโขกทำประตูและยังโหม่งตั้งให้ ควอนซาห์ ได้วอลเล่ย์เกือบเข้าในครึ่งหลัง

สุดท้ายแล้วตัวสำรองของคล็อปป์ก็แผลงฤทธิ์อีกครั้ง บอลเปิดแบบบรรจงตักให้ของ เอลเลียตต์ กลายเป็นแอสซิสต์ 2 ประตูให้ หลุยส์ ดิอาซ โหม่งประตู 2-1 และ ดาร์วิน นูนเญซ โหม่งประตู 3-1

กระนั้นลิเวอร์พูลก็ใช่จะเหนือกว่าอย่างเบ็ดเสร็จในครึ่งหลัง เกมของพวกเขาอาจจะดีขึ้นแต่แนวรับที่ดันสูงก็เปิดโอกาสให้ทีมเยือนเช่นกัน บอลโหม่งแบบลังเลของควอนซาห์ทำให้ โฟฟาน่า หลุดเข้าไปดวลเดี่ยวกับเคลเลเฮอร์แต่นายด่านไอริชที่ได้เฝ้าเสาแทน อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่ป่วยช่วยป้องกันไว้ได้ ขณะที่จังหวะต่อมาโฟฟาน่าได้หลุดขึ้นไปอีกครั้งแต่ยิงหลุดกรอบน่าผิดหวัง

ทั้ง 2 ครั้งเป็นโอกาสทองที่เบิร์นลี่ย์จะตีเสมอเป็น 2-2 และในที่สุดก็ถูกลงโทษด้วยประตู 3-1 ของดาร์วิน เป็นภาพเดิมๆ สำหรับเดอะคลาเร็ตส์

แม้จะอึดอัดสักหน่อยกับการตอบสนองที่เหมือนจะยังไม่กลับมาจากความพ่ายแพ้ต่ออาร์เซน่อลแต่ลิเวอร์พูลก็ทำได้ตามเป้าหมายคือฝ่าความกดดันและคว้า 3 คะแนนแซงกลับขึ้นไปเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง

ภาพของการฟาดฟันกันระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนฯ ซิตี้ ตลอดครึ่งฤดูกาลหลังของซีซั่น 2018/19 คล้ายจะหวนคืนมาอีกหน แต่ยังเร็วเกินไปที่จะเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นแน่ เพราะต้องไม่ลืมม้าอีกตัวที่ชื่ออาร์เซน่อล รวมถึงม้านอกสายตาอย่าง แอสตัน วิลล่า และ สเปอร์ส ที่โดยคะแนนแล้วยังอยู่ในวิสัยที่ลุ้นแชมป์ได้ด้วย

กระนั้น 3 คะแนนในเกมที่ลุ้นเหนื่อยสักหน่อยก็ดีกว่าคะแนนเดียวหรือไม่มีคะแนนในเกมที่เล่นเป็นพระเอก ถือเป็นการกระเด้งกลับที่น่าพอใจสมกับที่ได้เล่นต่อหน้าแฟนบอลมากที่สุดเป็นสถิติใหม่ของแอนฟิลด์ 59,896 คน

เกมต่อไป.. เยือน เบรนท์ฟอร์ด วันเสาร์หน้า คล็อปป์มีเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ สำหรับเตรียมความพร้อม และอาจจะได้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ฟิตกลับมาทันช่วยทีม

ทุกอย่างยังดีอยู่ ไม่ได้สบายใจเท่าไหร่หรอก ไม่ได้สลัดความกังวลให้หมดไปด้วย แต่ลิเวอร์พูลของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังเดินหน้าต่อไปและยังคงได้ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างจริงๆ จังๆ

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport