โทรฟี่ข้าใครอย่าแตะ,มูรินโญ่ ชวดสร้างประวัติศาสตร์ - 5 ข้อ เซบีย่า จองแชมป์ ยูโรปาลีก เฉือนชนะดวลลูกโทษ โรม่า

เป็นเกมที่สูสีกินกันไม่ลงในเวลา 90 นาทีจริงๆสำหรับคู่ชิงชนะเลิศถ้วย ยูโรปาลีก ซีซั่น 2022/23 ที่สนาม ปุสกัส อารีน่า ในกรุง บูดาเปสต์ , ฮังการี เมื่อวันพุธที่ 31 พ.ค. ซึ่ง เซบีย่า เสมอกับ โรม่า ด้วยสกอร์ 1-1

แม้กระทั่งต่อเวลาพิเศษอีกครึ่งชั่วโมงก็ยังหาผู้ชนะไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องใช้วิธีดวลลูกโทษตัดสินซึ่งปรากฏว่าเจ้าพ่อฟุตบอลรายการนี้เอาชนะทีม หมาป่า ได้สำเร็จ คว้าแชมป์ใบนี้ไปครองครบทั้งเจ็ดครั้งจากการเข้าชิงเจ็ดครั้ง แถมได้สิทธิ์ฟาดแข้งศึก แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นหน้าด้วย

1. เซบีย่า โรเตชั่นอื้อซ่า


เซบีย่า ปรับทีมตัวจริงมากถึง 7 รายจากเกม ลา ลีกา ที่ถูก เอรัล มาดริด บุกมาพิชิตถึงรัง 2-1 เมื่อสุดสัปดาห์

นอกจากนี้ แชมป์หกสมัยปราศจาก มาร์กอส อคุนย่า กองหลังทีมชาติ อาร์เจนติน่า ชุดคว้า แชมป์โลก เนื่องจากติดโทษแบนด้วยซึ่งส่งผลให้ อเล็กซ์ เตลเลส ที่ยืมมาจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สวมบทแบ็คซ้าย ขณะที่ เฆซุส นาบาส จอมเก๋าวัย 37 ปีรับภาระกัปตันทีม

รวมแล้วกุนซือ โฆเซ่ หลุยส์ เมนดิลิบา ยึดผู้เล่นชุดเดิมจากเกมเฝ้าบ้านชนะ ยูเวนตุส ในรอบรองชนะเลิศนัดสองทุกตำแหน่งลงบู๊ ยกเว้น เตลเลส รายเดียวที่ได้แทนที่ อคุนย่า ซึ่งโดนไล่ออกในเกมบู๊กับทีม ม้าลาย

พร้อมกันนี้ นาบาส ในวัย 37 ปี 191 วันยังถือเป็นนักเตะที่ไม่ใช่นายทวารอายุมากที่สุดด้วยที่ได้เล่นเป็นตัวจริงในเกมชิงดำ ยูฟ่าคัพ หรือ ยูโรปาลีก ต่อจาก เดวิด เวียร์ ในวัย 38 ปี 4 วันนัดที่ เรนเจอร์ส ฟัดกับ เซนิต ในปี 2008

อย่างไรก็ดี นาบาส เคยได้แชมป์ ยูฟ่าคัพ กับ เซบีย่า หนแรกมาแล้วในปี 2006 แมตช์ต่อกรกับ มิดเดิ้ลสโบรช์ ขณะมีอายุ 20 ปี 170 วัน

2. โรม่า ได้ ดีบาล่า ลงบู๊


โรม่า เปลี่ยนทีมตัวจริงมากถึง 10 รายจากเกม เซเรียอา นัดบุกไปแพ้ ฟิออเรนติน่า 2-1 และได้รับข่าวดีเนื่องจาก เปาโล ดีบาล่า หายเจ็บลงเล่นเป็นตัวจริงในแดนหน้าคู่กับ แทมมี่ อบราฮัม ได้ตามความคาดหมาย

นอกจากนี้ เลโอนาร์โด้ สปินาซโซลี่ ฟูลแบ็ค ซึ่งมีปัญหากล้ามเนื้อยึดก็ลงเล่นได้เช่นกัน

3. หมาป่า ชิงนำหน้าก่อน


เกือบเป็นคู่ชิงในฝัน (ร้าย?) อยู่เหมือนกันเนื่องจากนับตั้งแต่เริ่มเกมต่างก็ทำฟาวล์ตัดเกมกันแบบจุกจิกโดยตลอดซึ่งสามารถเข้าใจได้ว่ามันเป็นนัดชิงชนะเลิศ และทั้งสองทีมมีศักยภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หากใครพลาดท่าก่อนอาจถึงแพ้ได้เลยจึงจำเป็นที่ทั้งสองฝ่ายต้องเน้นแท็คติกจ๋าจนทำให้เกมไม่ไหลรื่น และติดๆขัดๆโดยตลอด

กระทั่งนาทีที่ 35 ดีบาล่า ก็หลุดไปตะบันให้ โรม่า ออกนำก่อนจากการแอสซิสต์ของ จานลูก้า มันชินี่ ซึ่งส่งผลดีต่อแฟนบอลอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากเกมเปิดทันทีโดยเฉพาะฝั่ง เซบีย่า ที่ต้องหาโอกาสทวงประตูคืนเพราะหากเกมยังดำเนินไปแบบไร้สกอร์ สถานการณ์ในสนามก็คงเป็นไปแบบน่าเบื่อไม่เลิก

หลังเช็กบิลให้ หมาป่า เฮฮา ดีบาล่า ก็เป็นดาวเตะ อาร์เจนติน่า คนแรกที่ยิงประตูในนัดชิงถ้วยยุโรปได้ถัดจาก ลิโอเนล เมสซี่ (บาร์เซโลน่า) ที่ตะบันได้ในเกมชิงถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่น 2020/11

นอกจากนี้ ดีบาล่า ยังเป็นนักเตะเลือดฟ้าขาวรายแรกเช่นกันที่ซัดประตูในนัดชิงถ้วย ยูฟ่าคัพ หรือ ยูโรปาลีก ได้ต่อจาก เอร์นาน เครสโป ที่กระทุ้งให้ ปาร์ม่า ได้ในปี 1999

จบครึ่งแรก สถิติระบุว่า เซบีย่า ครองบอลได้มากกว่า 61:39% และได้ส่องยิงมากกว่า 5:2 ครั้ง แต่ โรม่า ส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 2:1 ครั้ง

4. ข้อดีของวีเออาร์


เปิดฉากครึ่งหลังมาได้สิบนาที เซบีย่า บุกกดดันต่อเนื่องกระทั่งตีเสมอได้จากจังหวะที่ นาบาส สาดบอลจากกราบขวาไปกระทบ มันชินี่ จนบอลหลุดเข้าประตูซึ่งถือเป็นการออกสตาร์ตที่ยอดเยี่ยมของทีมจากลีกกระทิงดุ และบีบให้ โรม่า ที่หวังเน้นเกมรับต้องเปลี่ยนแนวทางการเล่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หากอยากได้โทรฟี่

กระทั่งนาทีที่ 75 เกือบมีดราม่าอยู่เหมือนกันในจังหวะที่ โรเจอร์ อิบันเญส เข้าสกัดบอลจากด้านหลังจนทำเอา ลูกัส โอกอมโปส ล้มคว่ำในเขตโทษ และผู้ตัดสินเป่าให้เป็นลูกโทษก่อนวิ่งออกไปเช็กวีเออาร์เพื่อความชัวร์ และชัดเจนว่าขุนพลทีม หมาป่า สกัดโดนบอลก่อนเลยมีการเปลี่ยนคำตัดสิน

เท่านั้นไม่พอ นาทีที่ 82 ทีมจากเมืองพิซซ๋าร้องขอลูกโทษบ้างจากจังหวะที่ เนมานย่า มาติช สาดบอลไปโดนแขนของ แฟร์นานโด แต่ท่านเปาไม่บ้าจี้ให้เป็นลูกโทษชนิดที่ไม่จำเป็นต้องเช็กวีเออาร์เนื่องจากแขนของดาวเตะทีม เซบีย่า แนบลำตัวอยู่จึงไม่เข้าข่ายเป็นการทำแฮนด์บอล

จบ 90 นาที เซบีย่า คว่ำ โรม่า ไม่สำเร็จ เสมอกัน 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษโดยสถิติหลังเกมยังเป็นทีมจาก ลา ลีกา ที่ครองบอลได้มากกว่า 66:34% และได้ส่องยิงมากกว่า 16:8 ครั้ง แต่ทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 4:2 ครั้งซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าพ่อ ยูโรปาลีก จบสกอร์ได้ไม่เด็ดขาดเท่าที่ควร

5. โบโน่ เดอะ ฮีโร่


ล่วงเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ เกมยิ่งติดๆขัดๆหยุดชะงักถี่ยิบมากขี้นไปอีกเนื่องจากหากฝ่ายไหนพลาดท่าเสียประตูในช่วงเวลาแบบนี้ก็มีโอกาสเป็นผู้แพ้สูง ฉะนั้นต่างฝ่ายจึงต้องงัดการทำฟาวล์ออกมาใช้อย่างต่อเนื่องจนทำให้แทบไม่มีโอกาสยิงประตูกันอีกเลย

อย่างไรก็ดี เห็นได้ชัดว่านักเตะ โรม่า ออกอาการป้อแป้แข้งขาอ่อนแรงมากกว่า และไม่มีโอกาสทำเกมรุกเลยนอกจากเตะสกัดสาดบอลทิ้งขว้างสถานเดียวเพื่อป้องกันการเสียประตูเพิ่ม แต่เข้าสู่ช่วงท้าย ดาวเตะ เซบีย่า ก็ออกอาการบักโกรกหลายรายเช่นกัน และคลำเป้าไม่สำเร็จจนต้องมีการดวลลูกโทษตัดสิน

และในที่สุด ยาสซีน บูนู หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า "โบโน่" ก็สวมบทฮีโร่เซฟลูกยิงของ มันชินี่ ได้สำเร็จ ก่อนที่ อิบันเญซ จะซัดไปชนเสาจนทำให้ เซบีย่า ชนะการดวลลูกโทษซึ่งบอกได้เลยว่าหากนักเตะทีมไหนต้องดวลกับนายทวารทีมชาติ โมร็อกโก ก็ต้องหนักใจเหมือนกันเนื่องจากเขามีลีลาการป้องกันประตูที่ไม่เปิดโอกาสให้คู่แข่งได้มีสมาธิเลยจากการขยับตัวอยู่ตลอดเวลาจนคนยิงลูกโทษสามารถเป๋ได้ง่ายๆ

สุดท้ายแล้ว เซบีย่า จึงคว้าแชมป์ใบนี้ได้ครบ 100% จากการเข้าชิงเจ็ดครั้ง แต่เป็นครั้งที่สามที่พวกเขาชนะการดวลลูกโทษต่อจากปี 2007 กับ เอสปันญ่อล และปี 2014 กับ เบนฟิก้า ขณะที่ เมนดิลิบา ในวัย 62 ปี

เปิดบริสุทธิ์ได้แชมป์เป็นรายการแรกสุดในอาชีพกุนซือของเขาด้วย

ด้าน มูรินโญ่ พลาดการสร้างประวัติศาสตร์อย่างน่าเสียดายเพราะหากเขาได้แชมป์ใบนี้ก็จะชนะทุกครั้งในการพาทีมเข้าชิงถ้วยยุโรป และการเสียสถิติหนแรกของกุนซือโปรตุกีสทำให้เขาไม่อาจลบสถิติของ โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ ชาวอิตาเลี่ยนลงได้กับการได้แชมป์ถ้วยยุโรปเป็นใบที่หกโดยทั้งคู่ได้แชมป์มากที่สุดห้าครั้งเท่ากัน อีกทั้งความพ่ายแพ้เกมนี้ทำให้ สเปเชี่ยลวัน ชวดเป็นกุนซือคนแรกที่ได้แชมป์ ยูฟ่าคัพ หรือ ยูโรปาลีก กับสามสโมสรที่แตกต่างกันหลังเคยประสบความสำเร็จกับ ปอร์โต้ และ แมนฯ ยูไนเต็ด

ขณะเดียวกัน แมตช์นี้มีใบเหลืองปลิวว่อนมากถึง 13 ใบด้วย (โรม่า เจ็ด, เซบีย่า หก) ซึ่งนับเป็นนัดชิงถ้วยยุโรปทุกรายการที่ท่านเปาแจกใบเหลืองมากที่สุดเช่นกัน


ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport