"ดร.ก้อง" ชี้โอซีเอโยกแข่งศึกเอเชียนอินดอร์ฯ ส่งผลดีต่อไทย

จากกรณีที่ สภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (โอซีเอ) ได้ส่งหนังสือถึงประเทศไทย เพื่อขอให้โยกโปรแกรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ ครั้งที่ 6 ซึ่งเดิมที มีกำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 24 ก.พ.-6 มี.ค. 2567 ไปเป็นเป็นหลังจากจบการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงวันที่ 26 ก.ค.-11 ส.ค. 2567 นั้น

ล่าสุด ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ได้กล่าวว่า ตอนนี้ขั้นตอนอยู่ที่การนำเสนอรัฐบาลกับคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งถ้าหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงคาดว่าจะเป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน อาจจะเป็นช่วงวันที่ 21-30 พฤศจิกายน 2567 น่าจะเหมาะที่สุด เพราะจบจากศึกพาราลิมปิกเกมส์ ในเดือนกันยายน และไทยจะมีเวลาเตรียมตัว นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สวยงามสำหรับไทย ที่จะเตรียมตัวต่อไปสู่ซีเกมส์ 2025 (พ.ศ.2568)

ดร.ก้องศักด กล่าวต่อไปว่า การเลื่อนไปไม่มีผลกระทบต่อการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ของประเทศไทยแต่อย่างใด กลับกันคิดว่าเป็นเรื่องดีเสียด้วย เพราะจะเป็นการเตรียมนักกีฬาไปควบคู่กัน หลายชนิดจะได้ประโยชน์ที่เตรียมตัวแบบต่อเนื่อง และน่าจะมีผลงานที่ดีขึ้น ขณะที่ในส่วนของการจัดการแข่งขันของประเทศไทยนั้น จะเป็นการวอร์มอัพ เตรียมพร้อมการจัดการและสถานที่ต่างๆ นับว่าเป็นการปรีอีเวนต์ไปโดยปริยาย แต่เราก็จัดแบบเต็มที่แน่นอน ทว่าอะไรที่มีปัญหาก็จะสามารถนำไปแก้ไขต่อในซีเกมส์ได้

"เรื่องงบประมาณเราไม่มีปัญหา มีการวางแผนไว้หมดแล้ว ไม่มีผลกระทบอะไร แล้วก็ไทยจะมีเวลาปรับปรุงสถานที่มากขึ้น มีเวลาประชาสัมพันธ์มากขึ้น สิ่งที่กระทบน่าจะเป็นงบเตรียมนักกีฬาที่ต้องใช้เวลาเตรียมมากขึ้น แต่นักกีฬาก็จะได้ประโยชน์เช่นกัน" ผู้ว่าการกกท. กล่าว

เมื่อถูกถามว่า การเลื่อนหรือปรับโปรแกรมมาหลายครั้ง สามารถยกเลิกเป็นเจ้าภาพได้หรือไม่นั้น ทางดร.ก้องศักด กล่าวว่า เราไม่คิดที่จะยกเลิกอยู่แล้ว เราแค่อยากจัดให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ในเมื่อทุกประเทศเห็นพ้องว่าควรจัดโปรแกรมใหม่เราก็ดูเวลาที่เหมาะสมให้ 

"จริงๆ เราเตรียมเต็มที่ จัดเดือนกุมภาพันธ์นี้ก็พร้อมแล้ว แต่ชาติต่างๆ พุ่งเป้าไปที่โอลิมปิกเกมส์มากกว่า ถ้าจัดอาจจะมีจำนวนนักกีฬาน้อย ถึงกีฬาในเอเชียนอินดอร์ฯจะไม่ชนกับโอลิมปิกเกมส์เยอะ แต่ส่งผลถึงรัฐบาลแต่ละประเทศในการเตรียมทีม ที่จะไม่มีงบส่งนักกีฬามาแข่งขัน"


ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport