เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา สมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย จัดการประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี 2566 ที่โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพฯ โดยมีวาระสำคัญ คือ การเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย คนใหม่ แทน "บิ๊กจา" พล.ต.จารึก อารีราชการัณย์ อดีตนายกสมาคมฯ วัย 91 ปี ที่ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา

สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชน เข้าทำข่าวห้องประชุมแต่อย่างใด โดยผู้แทนการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ร่วมกำกับการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมด้วย "บิ๊กแนต" นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ รองประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ และรองประธานสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (โอซีเอ) ที่ได้เข้าร่วมสังเกตุการณ์ด้วย

การเลือกตั้งประมุขตะกร้อไทยครั้งนี้ มีผู้แทนสโมสรสมาชิกที่มีสิทธิเลือกตั้งเข้าร่วมจำนวน 32 สโมสร มีนายสมพงษ์ ชาตะวิถี อดีตอธิการบดีสถาบันการพลศึกษา เป็นประธานการประชุม ขณะที่ที่ประชุมได้เลือกให้ นายสุพจน์ ตุ้มประชา จากสโมสรตะกร้อจังหวัดนครปฐม ทำหน้าที่ประธานการเลือกตั้งชั่วคราว

จากนั้นเข้าสู่วาระการเลือกตั้ง มีผู้แทนสโมสรสมาชิก เสนอชื่อผู้ที่จะเป็นนายกสมาคมฯคนใหม่เพียง 2 คน โดยผู้แทนจากสโมสรตะกร้อฮอนด้า ยูเนี่ยน เสนอชื่อ "บิ๊กต้อม" นายธนา ไชยประสิทธิ์ รองประธานและเหรัญญิก คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ และหัวหน้าคณะนักกีฬาไทย ขณะที่ผู้แทนสโมสรตะกร้อพัฒนาจังหวัดกาฬสินธุ์ เสนอชื่อ นายบุญชัย หล่อพิพัฒน์ อุปนายกสมาคมฯคนปัจจุบัน ทำให้ที่ประชุมต้องมีการลงคะแนนโหวต ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ลงคะแนนเลือกตั้งแบบไม่เปิดเผย

ผลการนับคะแนนปรากฏว่า นายธนา ไชยประสิทธิ์ ได้รับความไว้วางใจจากมวลสมาชิกชนะการเลือกตั้ง 22-10 เสียง ทำให้ "บิ๊กต้อม" ได้เป็นนายกสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย คนใหม่ มีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี ระหว่าง 2566-2570 

อนึ่ง การเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาตะกร้อฯ ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ เนื่องจากตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปี ที่ พล.ต.จารึก ดำรงตำแหน่งสมัยแรกตั้งแต่ปี 2526 นั้น มีคู่แข่งเสนอตัวชิงเก้าอี้จาก "บิ๊กจา" 2 ครั้ง แต่ตำแหน่งนายกสมาคมฯ ก็ไม่เคยเปลี่ยนมือแต่อยางใด

หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง นายธนา ไชยประสิทธิ์ นายกตะกร้อป้ายแดง ซึ่งกำลังปฏิบัติภารกิจหัวหน้านักกีฬาไทย ในศึกเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่นครหางโจว ประเทศจีน ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ต่อสื่อมวลชน ว่า นโยบายสำคัญที่จะสานต่องานของท่านจารึก ก็คือการพัฒนากีฬาตะกร้อไปสู่โอลิมปิกเกมส์ให้ได้ ซึ่งจะพยายามอย่างเต็มที่ ส่วนในซีเกมส์ที่ช่วงหลังมีชาติสมาชิกส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันน้อยนั้น เนื่องจากชาติเจ้าภาพมีการจำกัดจำนวนประเทศที่ส่งแข่งขันในแต่ละอีเวนต์ ทำให้การแข่งขันไม่คึกคักเหมือนอดีต เพราะแต่ละชาติก็จะส่งแข่งเฉพาะอีเวนต์ที่ตัวเองมีความพร้อมและมีความหวังเหรียญรางวัล ซึ่งตรงนี้ก็จะต้องหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขหรือยกเลิกกฎระเบียบดังกล่าวกันต่อไป ทั้งนี้ ตนยังไม่ได้เริ่มงาน จึงจะขอศึกษารายละเอียดต่างๆก่อน แต่ขอยืนยันว่าจะทำหน้าที่นึ้อย่างเต็ม ที่เพื่อสานงานต่อจาก พล.ต.จารึก ที่ทำไว้อย่างดีต่อไป