ปฐมบท "ความเดือด"! เมืองทอง-บุรีรัมย์ ศึกนี้การันตีทะลักจุดแตก!

โทษฐานที่ช่วงสุดสัปดาห์นี้จะมี 'บิ๊กแมตช์' ของ ไทยลีก ประจำสัปดาห์ที่ 5 ระหว่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ ช้าง อารีน่า ว่าแล้ว 'SIAMSPORT' จึงขอโหมโรงก่อนศึกใหญ่ที่กำลังจะมาถึง

โดยวันนี้ เราขอเริ่มด้วย ปฐมบท 'ความเดือด' ระหว่าง บุรีรัมย์ กับ เมืองทอง!!

___________

เริ่มต้นด้วยมิตรภาพ

นับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ฟุตบอลไทยเริ่มก้าวสู่คำว่า 'อาชีพ' อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีลีกสูงสุดในชื่อ ไทยพรีเมียร์ลีก ที่ได้ ชลบุรี เอฟซี เป็นสโมสรแรกที่ผงาดครองแชมป์

การแข่งขันเริ่มเป็นที่สนใจต่อชาวประชา กระทั่งมีหลายทีมที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา แน่นอนว่า เมืองทอง ยูไนเต็ด คือหนึ่งในสโมสรที่เริ่มมาจากศูนย์

กิเลนผยองไต่เต้าจาก ดิวิชั่น 2 ต่อด้วย ดิวิชั่น 1 และทะยานสู่ลีกสูงสุดของสยามประเทศได้สำเร็จในฤดูกาล 2009 ก่อนจะฟาดแชมป์ได้ทันที แถมยังทำได้ 2 ซีซั่นติดต่อกันอีกต่างหาก

ด้วยผลงานที่โดดเด่นเป็นสง่า เมืองทอง ได้สถาปนาตัวเองให้เป็น 'บิ๊กทีม' ของเมืองไทยไปโดยปริยาย

กระทั่งปลายปี 2009 ที่คุณเนวิน ชิดชอบ ได้เข้ามาเทกโอเวอร์สโมสร การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (อดีตแชมป์ปี 2008) และเปลี่ยนชื่อมาเป็น บุรีรัมย์ พีอีเอ พร้อมกับย้ายสนามเหย้ามาเล่นที่จังหวัดบุรีรัมย์ นั่นแหละคือต้นกำเนิดของทีมปราสาทสายฟ้า

ห้วงเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่าง เมืองทอง กับ บุรีรัมย์ ถือว่าแน่นแฟ้นพอควร เพราะกิเลนผยองยอมปล่อยผู้เล่นที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของบุรีรัมย์ แท้ๆ ไปเล่นให้บ้านเกิด ไล่ตั้งแต่ สุริยา ดอมไธสง (2009), จักรพันธ์ แก้วพรม (2010) และ อดิศักดิ์ ไกรษร (2011)

ฤดูกาลแรกใน ไทยพรีเมียร์ลีกของ บุรีรัมย์ พีอีเอ คือซีซั่น 2010 พวกเขาจบด้วยการเป็นรองแชมป์ต่อจาก เมืองทอง แต่นั่นก็เริ่มส่งสัญญาณแล้วว่าปราสาทสายฟ้ากำลังก้าวมาเป็น 'ผู้ท้าชิง' ในเวทีนี้

_________________

ถ้วยแชมป์ 2011 เป็นเหตุ

บุรีรัมย์ พีอีเอ เติบโตอย่างไวว่อง การมี ฟร้องค์ โออ็องซ่า (แคเมอรูน) และ ฟร้องค์ อาเชียมปง (กานา) 2 ผู้เล่นแอฟริกา ที่เป็นคีย์แมนสู่การเถลิงแชมป์ ไทยพรีเมียร์ลีก 2011 ฉีกหน้า เมืองทอง ที่ถูกทิ้งห่างถึง 25 คะแนน

ทว่าการรับถ้วยของฤดูกาลนั้น ทางฝั่ง บุรีรัมย์ ทำเรื่องขอ 'รับแชมป์' ที่บ้านของตนเอง เนื่องจากพวกเขาทำคะแนนทิ้งห่างคู่แข่งแบบไกลโพ้น ทว่าถูกปฏิเสธ เพราะว่าสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ต้องการจัดพิธีในนัดสุดท้ายของซีซั่น ซึ่งปราสาทสายฟ้าต้องไปเยือน เชียงราย ยูไนเต็ด

ว่าแล้ว บุรีรัมย์ เลยแก้ลำด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ของทีมไปรับโทรฟี่ไทยพรีเมียร์ลีกเพียง 2 คน เป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ถึงความไม่พอใจที่ถูกปฏิบัติแบบไร้เยื่อใย 

ขณะเดียวกัน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์กับ เมืองทอง ก็เริ่มเขม็งเกลียวในฐานะคู่แข่งโดยตรง

ยิ่งไปกว่านั้น ในถ้วย เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ปราสาทสายฟ้ายังย้ำแค้นด้วยการกำชัยเหนือกิเลนผยองได้ 1-0 อีกต่างหาก

แถมยังได้โทรฟี่ ลีก คัพ กลายเป็น 'เทรเบิ้ลแชมป์' สโมสรแรกในสยามประเทศ

จากความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ มันจึงเป็นการเพิ่มความท้าทายอยากเอาชนะของ เมืองทอง อีกเป็นทวีคูณ

_________________

การโต้ตอบของกิเลน

ฤดูกาล 2012 บุรีรัมย์ พีอีเอ (แชมป์ ไทยพรีเมียร์ลีก 2011) และ บุรีรัมย์ เอฟซี (แชมป์ดิวิชั่น 1 ปี 2011) ได้ควบรวม มากลายเป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แต่ก็ต้องเสียแชมป์ให้ เมืองทอง ที่ทุ่มเงินนำเข้าผู้เล่นฝีเท้าดีเพื่อทวงบัลลังก์

กิเลนผยองนำ มาริโอ ยูรอฟสกี้ เพลย์เมเกอร์ดีกรีทีมชาติมาซิโดเนีย เข้ามาเสริมทัพ พร้อมด้วยนักเตะเกาหลีเหนือ ที่ผ่านฟุตบอลโลก 2010 ทั้ง รี ควาง ชอน และ พัก นัม โชล โดยมี สลาวิซ่า โยคาโนวิช เป็นกุนซือแทนที่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์

เมืองทอง คว้าแชมป์ด้วยสถิติ 'ไร้พ่าย' เป็นทีมแรกของประเทศ ซึ่งในวันฉลองโทรฟี่ ภาพที่แฟนฟุตบอลกรูกันลงสู่สนาม ยังคงเป็นวินาทีประวัติศาสตร์ และสวยงามของวงการลูกหนังไทย จนถึงปัจจุบัน

___________

แชมป์ลีก 3 ปีติด, ข้าวกล่องและซี่โครง?

หลังเสียบัลลังก์ให้ เมืองทอง - ปราสาทสายฟ้ากลับมาอย่างยิ่งใหญ่กว่าเก่าด้วยการฟาดแชมป์ลีกรวดเดียว 3 สมัย ระหว่างปี 2013-2015 โดยที่ 2 ใน 3 ซีซั่นเป็นการคว้าทุกถ้วยในประเทศอีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2014 ซึ่งเป็นซีซั่นที่ เมืองทอง ทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก กับการจบอันดับ 5 ของตาราง อันถือเป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรเลยทีเดียว (2007-2014)

ฤดูกาลนั้นเอง ยามใดก็ตามที่กิเลนผยองเดินทางไปเป็นทีมเยือน พวกเขาจะได้รับการต้อนรับด้วยวาทะและวลีที่แฟนๆ ของเจ้าถิ่นตะโกนพร้อมกันว่า 'ซี่โครง' ไม่ก็ 'กี่โมง' ซึ่งเป็นคำที่แผลงเสียงมาจาก 'ขี้โกง' นั่นเอง

เรื่องของเรื่องนั้นมีต้นตอจากการตอบโต้กันในโลกโซเชียลมีเดีย ที่ฟาก เมืองทอง มักจะเรียกแฟนๆ บุรีรัมย์ ว่า 'กองเชียร์ข้าวกล่อง' กับ 'กองเชียร์จัดตั้ง' นั่นเอง

พอเกิดสงครามทางแป้นพิมพ์ บวกด้วยยุคสมัยที่เทคโนโลยีย่อส่วนให้ผู้คนใกล้ชิดกันมากขึ้น มันเลยเถิดมาถึงการปะทะคารมกันระหว่างแฟนๆ ของกิเลนผยองกับปราสาทสายฟ้าแบบไม่อาจหลีกเลี่ยง

ไม่นับรวมประโยคเด็ดของคุณเนวิน ที่กลายเป็น 'อมตะ' จนถึงทุกวันนี้กับคำว่า "แพ้ใครก็ได้ แต่ต้องไม่แพ้เมืองทอง" 

ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าทั้ง 2 สโมสร เป็นคู่ขนานกันอย่างแท้จริง

___________

เจ้าชายสายฟ้า มุ่งหน้าสู่รังกิเลน

ธีราทร บุญมาทัน คือนักเตะที่เปรียบเสมือน 'สัญลักษณ์' ของ บุรีรัมย์ เพราะนอกจากจะเป็นศิษย์ก้นกุฏิตั้งแต่สโมสร การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค - เขายังเป็นผู้เล่นที่แฟนๆ หวงแหนและรักใคร่มากทสุด

ฟรีคิกสุดเฉียบ, ลูกจ่ายขนานเส้นอันเป็นเอกลักษณ์, เกมรับไม่มีแตกแถว, ใจสู้ไม่เกรงกลัวใคร ทั้งหมดนี้คือคุณสมบัติคร่าวๆ ของกองหลังคนนี้

ทว่า 'รอยร้าว' ระหว่างฟูลแบ็กชาวนนทบุรี กับปราสาทสายฟ้าเริ่มต้นจากการที่ บุรีรัมย์ ปราชัยต่อ เอฟซี โซล คาบ้านตนเอง 0-6 ในศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม 2016 

จากความพ่ายแพ้ยับเยิน จึงเป็นที่มาของประโยคคลาสสิกจาก 'แอดมิน' ของสโมสร บุรีรัมย์ ที่ไปไล่คอมเมนต์ในโลกออนไลน์ต่างๆ ด้วยการตอบแฟนฟุตบอลที่เข้ามาวิจารณ์ทีมของตนเองด้วยคำว่า "วิเคราะห์ถูกต้องค่ะ" 

กระทั่งเลกที่ 2 ของฤดูกาล 2016 - ธีราทร ก็ย้ายมาชูเสื้อกับ เมืองทอง แบบที่คอลูกหนังทั้งสยามประเทศต่างตื่นตะลึง   

เท่านั้นไม่พอ ในซีซั่นเดียวกัน เกมที่กิเลนผยองเปิดบ้านเฉือนชนะ บุรีรัมย์ ไปได้ 3-2 หลังจบเกม ธีราทร ในฐานะนักเตะ เมืองทอง ได้พูดกับสื่อมวลชนว่า “สะใจครับ คำเดียว สะใจ” จนภายหลัง แฟนฟุตบอลเอามาล้อเลียนด้วยการดัดแปลงเป็น “สระไดร์ ครับ สระไดร์” จนกลายเป็นคำฮิตติดหูกันทั่งประเทศ

เรื่องของแบ็กซ้ายคลาสระดับทวีป ยังไม่จบลงที่ตรงนี้ หากแต่ในซีซั่น 2017 กับเกม ลีก คัพ รอบ 8 ทีม สุดท้าย ธีราทร ทำประตูอดีตทีมเก่าของตนเองถึง ช้าง อารีน่า ให้กิเลนผยองบุกมาเอาชนะ 2-0

พลันที่เขายิงได้ เจ้าตัวดีใจแบบสุดเหวี่ยง พร้อมกับที่ผู้ชมรายหนึ่งของ บุรีรัมย์ วิ่งมาทุบพื้นรัวๆ บริเวณอัฒจันทร์ กลายเป็นไวรัลในห้วงเวลานั้นอยู่พอสมควร 

จากการทวงคืนบัลลังก์แชมป์ ไทยลีก 2016 ต่อด้วย ลีก คัพ 2017 ของ เมืองทอง แถมยังมีเรื่องของโซเชียลมีเดียที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ยิ่งทำให้ 'ความเกลียดชัง' ระหว่างกิเลนผยองกับปราสาทสายฟ้าทวีคูณขึ้นไปอีก

___________

ฟาดฟันนับทศวรรษ

นับตั้งแต่ปี 2009 - 2018 แชมป์ลีกสูงสุดของเมืองไทย ผลัดเปลี่ยนกันชมเพียงแค่ 2 สโมสร คือ เมืองทอง กับ บุรีรัมย์

กิเลนผยองได้ไป 4 หน ขณะที่ปราสาทสายฟ้าฟาดไป 6 ครั้ง (รวมกับที่ใช้ชื่อ บุรีรัมย์ พีอีเอ)

แน่นอนว่าการที่ทั้งสองฝั่งสลับกันคว้าโทรฟี่แบบนี้ มันย่อมทำให้ต่างฝ่ายต่างก็เกทับบลั๊ฟกันแหลกลาญ ในฐานะที่เป็นคู่แข่งแย่งแชมป์กันโดยตรง 

แม้ว่าปัจจุบัน เมืองทอง จะห่างเหินความสำเร็จไปร่วม 5 ปี โดยมีผู้ท้าชิงรายใหม่อย่าง เชียงราย ยูไนเต็ด, บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, แบงค็อก ยูไนเต็ด และ การท่าเรือ เอฟซี ที่ก้าวขึ้นมาต่อสู้กับ บุรีรัมย์ ได้อย่างสง่าผ่าเผย

แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้เช่นกัน ว่ายังไงเสีย เมื่อใดที่ บุรีรัมย์ กับ เมืองทอง เจอกัน ยังไงก็คุ้มค่าแก่การเข้าชม เพราะการเผชิญหน้าของคู่นี้ 'เป็นมากกว่าเกมฟุตบอล'

___________


ที่มาของภาพ : siamsport
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport