แม่ทัพโสมขาวฟัดช้างศึก! 10 ข้อ รู้จักกับ ฮวาง ซุน-ฮง กุนซือเกาหลีใต้คนใหม่!!

โทษฐานที่ทีมชาติเกาหลีใต้ เพิ่งแต่งตั้ง ฮวาง ซุน -ฮง ขึ้นเป็นกุนซือคนใหม่ แทนที่ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ ที่แยกทางกันไปไม่ค่อยดี โดยเทรนเนอร์วัย 55 ปี จะประเดิมการคุมทัพโสมขาวดวลกับไทย ในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ทั้ง 2 เกม ว่าแล้ว 'SIAMSPORT' จึงคัดสรร 10 ข้อ มาให้คุณได้รู้จักกับเขามากกว่าเดิม!!

[ 1 ] ติดทีมชุดเอเชียน คัพ ตั้งแต่อายุเพียง 20

   ในปี 1988 ฮวาง ซุน -ฮง ในวัย 20 ถือเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการลูกหนังเกาหลีใต้ และด้วยพรสวรรค์อันเอกอุ เขาจึงถูก อี โฮ-เต็ก กุนซือทัพโสมขาวในขณะนั้นเรียกตัวไปเล่น เอเชียน คัพ รอบสุดท้าย ณ ประเทศกาตาร์

   เขาได้เล่นเกือบทุกนัดตั้งแต่รอบแรก โดยเกมรอบชิงชนะเลิศก็ลงสนามไป 58 นาที ซึ่งน่าเสียดายที่ชวดแชมป์ เพราะต้องพ่ายต่อซาอุดีอาระเบีย ไปในช่วงการดวลลูกจุดโทษ 

[ 2 ] เล่นทีมมหาลัย แต่เป็นหนึ่งในขุนพลชุด เวิร์ล คัพ 1990

   แม้จะเล่นให้มหาวิทยาลัย คอนกุก ทว่าความเก่งกาจของ ฮวาง ซุน -ฮง นั้นทำให้เขาเป็นหนึ่งใน 2 ผู้เล่นที่มาจากทีมมหาวิทยาลัยและถูกเรียกติดทัพเกาหลีใตั ชุดฟุตบอลโลก 1990 โดยอีกคนก็คือ ฮง เมียง-โบ กองหลังผู้กลายเป็นตำนานของประเทศในเวลาต่อมา

   ในทัวร์นาเมนต์ที่อิตาลี เขาสวมใส่หมายเลข 18 ลงสนามไป 2 นัดในรอบแบ่งกลุ่มพบเบลเยียม และอุรุกวัย แม้จะไม่สามารถช่วยทีมเก็บคะแนนได้ แต่นั่นถือเป็นนิมิตหมายอันดีกับการมีส่วนร่วมในมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ

[ 3 ] แข้งโสมขาวชุดแรกๆ ตะลุยยุโรป 

   หลังจบจาก เวิร์ล คัพ ฉบับอิตาลี - ฮวาง ซุน -ฮง โยกสู่ต่างแดน โดยไปเล่นให้ลีกเยอรมัน กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในปี 1991 ซึ่งถือเป็นนักเตะเกาหลีใต้ ชุดแรกๆ ที่ไปผจญภัยในยุโรป ต่อจาก ชา บึม-กึน

   อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ทัพห้างขายยามีทั้ง ไฮโก้ แอร์ริช, อูล์ฟ เคียร์สเท่น, อันเดรียส โธม ซึ่งเป็นกองหน้าทีมชาติเยอรมัน รวมไปถึง มาเร็ค เลสเนียค (โปแลนด์) ทำให้เขาไม่สามารถสอดแทรกเข้าไปอยู่ในทีมชุดใหญ่ จึงทำได้แต่โลดแล่นในทีมสำรองเท่านั้น

   เมื่อไม่ได้รับโอกาส ซุน -ฮง ตัดสินใจไปเล่นลีกรองเยอรมัน กับ วัปเปอร์ทาเลอร์ ก่อนจะหมดสัญญาในปี 1993 แล้วจึงบินกลับมาค้าแข้งในบ้านเกิด

[ 4 ] คว้าแชมป์สโมสร เอเชีย กับ โปฮัง 2 สมัยรวด

   พอย้ายกลับสู่มาตุภูมิในปี 1993 ฮวาง ซุน -ฮง เซ็นสัญญากับ โปสโก อะตอมส์ (โปฮัง สตีเลอร์ส ในปัจจุบัน) และก็เฉิดฉายกับการพาทีมคว้าแชมป์ ลีก คัพ (1993) และ เอฟเอ คัพ (1996) 

   แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าคือการที่เจ้าตัวมีส่วนสำคัญกับแชมป์ เอเชียน คลับ แชมเปี้ยนชิพ หรือ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปัจจุบัน โดยฟาดถ้วย 2 ปีซ้อน (1996-97 กับ 1997-98) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรอีกด้วย

[ 5 ] ยิงประตูเยอรมัน ใน เวิร์ล คัพ 1994 - ดาวซัลโว เอเชียนเกมส์ 

   เกาหลีใต้ ยังคงผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายแบบต่อเนื่อง และตัวของ ฮวาง ซุน -ฮง ก็ยังคงเป็นตัวหลักของทัพโสมขาวเช่นเคย ทว่า เวิร์ล คัพ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาทำให้ชื่อเสียงของตนเองโด่งดังกว่าเดิม

   ขุนพล แดกึก อาจจะตกรอบแรกเช่นเคย แต่คราวนี้พวกเขาได้ 2 คะแนน จากผลเสมอสเปน 2-2 ต่อด้วยโบลิเวีย 0-0 

   น่าเสียดายที่เกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มที่ปราชัยให้เยอรมัน แชมป์โลกปี 1990 ไปหวุดหวิด 2-3 ซึ่งนัดนี้ ซุน-ฮง ส่งบอลผ่านมือ โบโด อิ๊กเนอร์ ผู้รักษาประตูชั้นนำในยุคนั้นในนาทีที่ 52

   หลังเสร็จศึกที่สหรัฐอเมริกา ในเดือนมิถุนายนพี่แกก็ยังฟอร์มร้อนแรงไม่เลิก กับการคว้ารางวัล 'ดาวยิงสูงสุด' เอเชียนเกมส์ 1994 โดยกดไปถึง 11 ประตู จาก 17 ลูก ที่เกาหลีใต้ ทำได้ในทัวร์นาเมนต์ที่ญี่ปุ่น

   อย่างไรก็ตาม ทัพโสมขาวจบด้วยอันดับ 4 เท่านั้น

[ 6 ] นักเตะเกาหลีใต้ คนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ได้ 'ดาวซัลโว' เจลีก

   จากฟอร์มอันร้อนแรงในลีกเกาหลีใต้ รวมไปถึงทีมชาติ ทำให้ ฮวาง ซุน -ฮง ถูก เซเรโซะ โอซากะ สโมสรดังของญี่ปุ่น กระชากตัวไปร่วมทัพในปี 1998 

   ปีต่อมา (1999) เขาโชว์ฟอร์มโหดเมื่อยิงไป 24 ประตู จาก 25 เกม ใน เจลีก คว้ารางวัล 'ดาวซัลโว' ไปครองแบบไร้คู่แข่ง ซึ่งนับเป็นนักเตะจากแดนกิมจิคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำได้ แถมทุกวันนี้ก็ยังไม่มีผู้เล่นคนใดจากเกาหลีใต้ สามารถเจริญรอยตามได้เลย นับเวลาก็ 25 ปี มาแล้ว

[ 7 ] พา บูซาน ไอ พาร์ค กลับสู่วันแห่งแสงสว่าง

   ในประวัติศาสตร์ของ ปูซาน ไอพาร์ค (ชื่อเดิมคือ แดวู รอยัลส์) พวกเขาอาจจะเคยครองแชมป์ลีกก็จริง แต่นั่นมันในยุคที่ฟุตบอลเกาหลีใต้ ยังไม่พัฒนาไกลขนาดนี้ 

   กระทั่งการมาของ ฮวาง ซุน -ฮง อดีตกองหน้าทีมชาติที่ผันตนเองสู่งานโค้ชอย่างเต็มตัวในปี 2008 (เซ็นสัญญาธันวาคม 2007) นั่นแหละ สถานการณ์ก็ค่อยๆ ดีขึ้นทันตาเห็น เพราะเขาพาทีมคว้ารองแชมป์ ลีก คัพ (2009) ต่อด้วย เอฟเอ คัพ (2010) ด้วยขุมกำลังที่ไม่ได้มีซูเปอร์สตาร์เลย

[ 8 ] สานต่อความสำเร็จกับ โปฮัง

   ฮวาง ซุน -ฮง ในวัย 43 ปี กำลังไปได้สวยบนเส้นทางโค้ช ฤดูกาล 2011 (เซ็นสัญญาพฤศจิกายน 2010) เขาถูกทาบทามให้เข้ามารับตำแหน่งกุนซือของ โปฮัง สตีเลอร์ส อดีตต้นสังกัดที่เขาเคยค้าแข้งเมื่อยังหนุ่ม

   โปฮัง ไม่ได้แชมป์ลีกมาแล้ว 5 ซีซั่น แถมการมาของพี่แกก็ยังแปลกใหม่อีกต่างหาก เพราะเขาประกาศว่าจะผลักดันผู้เล่นจากทีมเยาวชนของสโมสรขึ้นมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งทำให้หลายๆ ฝ่ายต่างหวั่นเกรง

   ซุน-ฮง ใช้ผลงานในสนามตอบแทนทุกสิ่งอย่าง เมื่อพาสโมสรเถลิงบัลลังก์ เคลีก ในฤดูกาล 2013 พ่วงด้วย เอฟเอ คัพ อีกหนึ่งใบ ด้วยนักเตะอายุน้อย พร้อมสไตล์ต่อบอลจนถูกสื่อมวลชนขนานนามว่า 'สตีล-ตาก้า' อันมาจาก ''ติกิ-ตาก้า ของ บาร์เซโลน่า นั่นเอง 

   จากความสำเร็จอันล้นหลาม ทำให้เขาก้าวไปรับรางวัลอันทรงเกียรติกับการได้รับเลือกให้เป็น 'โค้ชยอดเยี่ยม' ประจำปี 2013 

[ 9 ] โค้ชจอมเฮี้ยบที่ เอฟซี โซล

   ตอนที่ ฮวาง ซุน -ฮง เซ็นสัญญาคุม เอฟซี โซล เมื่อเดือนมิถุนายน 2016 เหมือนทุกอย่างกำลังไปได้ดี เพราะมีแชมป์ เคลีก ในซีซั่นนั้น แต่ด้วยความที่เป็นกุนซือที่เน้นหนักในเรื่องวินัย ทำให้เขามีปัญหากับบรรดาผู้เล่นต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น เดยัน แดมยาโนวิช หรือ ออสมาร์ อีบันเญซ (อดีตเซนเตอร์ฮาล์ฟ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) รวมไปถึง พัก ชู-ยอง อดีตกองหน้าเกาหลีใต้

   ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ผลงานของ เอฟซี โซล หลังจากปี 2016 ดิ่งลงอย่างชัดเจน จนในที่สุด ซุน -ฮง ตัดสินใจลาออก เพื่อรับผิดชอบต่อฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ของสโมสร

[ 10 ] พาเกาหลีใต้ คว้าแชมป์ เอเชียนเกมส์ 2022

   ผลงานในการคุมทีมของ ฮวาง ซุน -ฮง ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เพราะนับจาก เอฟซี โซล ต่อด้วย หยานเบียน ฟันเด้ (จีน) และ แดเจือน ฮานา ซิติเซ่น นั้นล้วนแล้วแต่ออกไปในทางลบ

   อย่างไรก็ตาม ด้วยชื่อเสียงและบารมี ทำให้สมาคมฟุตบอลของเกาหลีใต้ แต่งตั้งให้เขาเป็นกุนซือของทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ในเดือนกันยายน 2021 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์พอสมควร

   เช่นเคย ซุน -ฮง ต้องเจอกับมรสุมที่ถาโถมด้วยการพาทีมชุดยู-23 ผ่านเข้าไปเล่น เอเชียน คัพ 2022 ที่แข่งขันในเดือนมิถุนายน แต่ตกรอบ 8 ทีม สุดท้าย เพราะแพ้ต่อญี่ปุ่น เละเทะ 0-3 จนเกิดกระแสในประเทศให้ปลดเขาออกจากตำแหน่ง

   ทว่าเมื่อถึงกันยายนของปีเดียวกัน เขาแก้ตัวได้สำเร็จกับการนำเกาหลีใต้ ผงาดคว้าเหรียญทอง เอเชียนเกมส์ ได้สำเร็จ ซึ่งนัดชิงชนะเลิศก็เอาชนะญี่ปุ่น คู่อริตัวฉกาจได้นั่นเอง


ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport