ไม่สมกับอดนอนเชียร์! สิ่งที่อยากบอกหลัง ลิเวอร์พูล ถลุง อาแจ๊กซ์

อุตส่าห์อดหลับอดนอน เพื่อชมการศึกระหว่าง อาแจ๊กซ์ อัมส์เตอร์ดัม กับ ลิเวอร์พูล ด้วยคิดว่าจะได้เจอความเมามันในยามวิกาล

อืมมมม...ที่ไหนได้นะครับ 

เพราะ 'เมามัน' อยู่แค่ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ก่อนเจ้าถิ่นที่ต้องชนะเพียงสถานเดียวเท่านั้นแล้วเล่นแบบไม่มีอะไรจะเสียจะค่อยๆ แผ่วลงไปกระทั่งพานพบกับความไส้แตกแบบคาบ้าน !!!

และต่อไปคือสิ่งที่ท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมอยากจะบอก

1. ช่วงหลัง เจอร์เก้น คล็อปป์ นิยมสูตร 'หน้าคู่' กู้วิกฤตนะครับ

เมื่อ ดาร์วิน นูนเญซ หายเจ็บกลับมาพอดี ดาวเตะค่าตัว 85 ล้านปอนด์ผู้นี้จึงถูกจับลงกองหน้าคู่กับ โม ซาล่าห์ โดยมี โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ สวมบท 'หน้าต่ำ' ช่วยสร้างสรรค์เกมอยู่ข้างหลัง

ดูจากการยืนตำแหน่งเหมือนสูตร 4-3-1-2

ตรงกลาง 3 ตัว ฟาบินโญ่ ตัวรับ ขนาบด้วย ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ขณะที่แผงแบ็คโฟร์ & นายทวารยังเหมือนเดิม

ขุมพลัง 11 ตัวจริงดีกว่าเกมพรีเมียร์ลีกนัดล่าสุดที่ถูกบ๊วยติดคอชัดเจน

2. อาแจ๊กซ์ เจ้าบ้านตกอยู่ในสถานการณ์ต้องชนะสถานเดียว

ดังฉะนั้น พวกเขาจึงต้องเปิดเกมรุกใส่แบบไม่คิดชีวิตแน่

...ว่าแล้วก็บีบสูงพลางเพรสซิ่งเข้าใส่โดยพลันตั้งแต่เริ่มเกม แถมทำได้ดีมากซะด้วย

เพียงไม่กี่นาทีก็ควรจะได้ประตูขึ้นนำเป็นอย่างยิ่งจากการเล่นเกมรับที่หละหลวมของผู้มาเยือน

น่าเสียดายที่บอลพุ่งไปชนเสา ชิงจังหวะขึ้นนำก่อนไม่ได้ มิเช่นนั้นอัตราความเมามันของเกมคงทะลักจุดแตกแน่ 

เท่านั้นไม่พอ

การชิงจังหวะขึ้นนำก่อนไม่สำเร็จของทีมยักษ์ดัตช์กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมนี้เลยทีเดียว

3. ครึ่งชั่วโมงแรก อาแจ๊กซ์ เหนือกว่า ลิเวอร์พูล แบบเห็นๆ เลยนะครับ

เมื่อบีบสูงแล้วบดบี้เร็วเข้าใส่จนพลพรรคหงส์แดงต่อบอลกันติดๆ ขัดๆ เสียบอลกันง่ายๆ และบุกไม่ขึ้นเลย

อย่างไรก็ตาม

แม้นเจ้าถิ่นจะรุมกดดันจนแย่งบอลมาได้เร็วแล้วบุกกระหน่ำเข้าใส่ ต่อบอล-ทำชิ่งกันแม่นยำ แก้เพรสส์ของคู่แข่งได้แบบไม่สะทกสะท้าน 

แต่จังหวะสุดท้ายกลับไม่ค่อยมีคุณภาพสักเท่าไหร่ โดยหนักไปทางคุณตะพาบซะมากกว่า

นี่แหละครับคือความแตกต่างระหว่างตัวผู้เล่น

คุณภาพผู้เล่นของ อาแจ๊กซ์ หลัง เอริค เทน ฮาก หนีไปคุมปีศาจแดงตกลงไปเยอะ แม้พวกพรี่ๆ เขาจะไม่ค่อยสมประกอบ ผู้เล่นโดยเฉลี่ยก็ยังมีคุณภาพสูงกว่า 

พูดง่ายๆ ว่าระบบการเล่นดี หากผู้เล่นมีคุณภาพส่วนตัวสูงกว่านี้ ประสิทธิ์ภาพในเกมรุกเวลาเล่นในรายการใหญ่ของยุโรปมันก็จะสูงกว่านี้ 

นึกออกไหมครับ ???

4. หลังเวลาผ่านไปประมาณ 25 ลิเวอร์พูล ก็เริ่มตั้งหลักได้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครองบอลกันได้มากขึ้นจนไม่เป็นรองเหมือนตอนแรกแล้ว

อันนี้เหมือนสัญญาณเตือนภัย เพราะถ้าพวกพรี่ๆ เขาตั้งหลักได้เมื่อไหร่ก็จะอันตรายมาก เพราะในแดนหน้า 3 ประสาน โม-โน่-นูน

บัดดลก็ชิงจังหวะขึ้นนำ 1-0 ได้เฉยเลยจากจังหวะจู่โจมแบบลอบสังหาร

ดูจากภาพช้า กองหลังของ อาแจ๊กซ์ ทั้งเหม่อลอยและเลินเล่อมากครับที่ปล่อยให้มหันต์ภัยอย่าง โม ซาล่าห์ อยู่คนเดียวโดดๆ ไร้ตัวประกบ

แบบนี้ก็พินาศสิครับ

ผู้เล่นของเจ้าถิ่นคงคิดนะครับ พวกกูบุกชิบหาย มึงสวนมาเร็วๆ แค่ดอกเดียวได้ประตูเลย...นี่มันอะไรกันเนี่ย

5. ประตูนำ 1-0 ของ ลิเวอร์พูล เพียงพอที่จะทำให้ อาแจ๊กซ์ ที่ต้องชนะสถานเดียวถอดใจไปเลย

เข้าใจว่าคงช็อคนั่นแหละครับ

เพราะนับตั้งแต่นั้นก็เครื่องสะดุดเพลาหักสลักหายทำเกมรุกเข้ากดดันเหมือนในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกไม่ได้แล้ว

ต้นครึ่งหลังจึงถูก ลิเวอร์พูล กะซวกไปอีก 2 ดอกเน้นๆ 

จบข่าว

จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ในช่วงแรกของเกมที่ผู้เล่นเจ้าถิ่นดันยิงไปชนเสานั่นแหละครับ หากมันเข้าไปตุงตาข่าย การห้ำหั่นกันมันน่าจะสนุกสนานมากกว่านี้

ยินดีกับพวกพรี่ๆ ที่ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเรียบร้อย โดยเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาสามารถเลือกได้ด้วยว่าจะเล่นแบบไหน

หากต้องการเป็นที่ 1 ของกลุ่มก็ต้องถล่มเอาชนะ นาโปลี ให้ได้มากกว่า 3 ประตู เพื่อให้ เฮด ทู เฮด ดีกว่า

แต่ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องอันดับที่มีผลต่อการจับสลากในรอบต่อไปก็เอาตัวสำรองลงไปยืดเส้นยืดสายพลางพักผู้เล่นตัวหลักไว้ก็ได้

บอ.บู๋



ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : บอ.บู๋
บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport