ฟิล โฟเด้น ของแทร่,ผีโดนทุบสถิติ! 5 ประเด็น แมนยู บุกแพ้ แมนซิตี้ ราบคาบ

เป็นไปตามความคาดหมายเมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ปราชัยในเกมดาร์บี้แมตช์ พรีเมียร์ลีก อีกตามเคยจากการบุกไปโดน แมนฯ ซิตี้ ทีมคู่ปรับร่วมเมืองไล่ทุบ 3-1 ที่สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มี.ค.แม้ว่า ผีแดง จะออกสตาร์ตได้อย่างน่าฮือฮาด้วยการได้ประตูนำเร็วตั้งแต่หัววันจากฝีเกือกของ มาร์คัส แรชฟอร์ด แต่ ฟิล โฟเด้น ระเบิดฟอร์มจัดจ้านตะบันสองตุงให้เจ้าถิ่นแซงนำก่อนที่แชมป์เก่าจะกำชัยไปอย่างเด็ดขาดจากประตูตอกฝาโลงในช่วงทดเวลาของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์

1. เรือส่งแข้งตัวจริงคืนโผ

แมนฯ ซิตี้ ระดมขุนพลตัวหลักกลับมาลงสนามรวมห้ารายเมื่อเทียบจากไลน์อัพนัดล่าสุดที่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า บุกไปถล่ม ลูตัน ขาดลอย 6-2 ในเกม เอฟเอคัพ รอบห้า

ในจำนวนนี้ประกอบไปด้วย เอแดร์ซอน , รูเบน ดิอาส ,เฌเรมี่ โดกู ,โรดรี้ และ ฟิล โฟเด้น ที่ถูกจับให้นั่งข้างสนามในเกมถ้วยน็อกเอาต์

พร้อมกันนี้ เจ้าบ้านได้ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล ที่หายเจ็บข้อเท้ากลับมาเป็นตัวสำรองเพิ่มอีกราย ขณะที่ เควิน เดอ บรอยน์ ลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก เป็นนัดที่ 250

2. ผีพึ่งเจ้าหนู ไมนู-คุณน้า อีแวนส์

แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งยังขาดนักเตะที่บาดเจ็บหลายรายปรับทัพสองตำแหน่งจากเกมบุกไปเขี่ย ฟอเรสต์ ตกรอบห้าถ้วย เอฟเอคัพ ด้วยสกอร์ 1-0

เอริค เทน ฮาก กุนซือดัตช์หวนกลับมาใช้งาน ค็อบบี้ ไมนู กองกลางดาวรุ่งเป็นตัวจริงเช่นเดียวกับ จอนนี่ อีแวนส์ ปราการหลังวัยดึก และดร็อป โซฟียาน อัมราบัต กับ อันโตนี่ ไปนั่งข้างสนาม

ขณะเดียวกัน บรูโน่ แฟร์นันด์ส ลงเล่นให้ ปีศาจแดง เป็นนัดที่ 150 พอดี

3.เทน ฮาก (ยัง) เอาอยู่

เกมครึ่งแรกที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ถูกตัดสินผลลัพธ์ด้วยลูกยิงไกล 25 หลาของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ในนาทีที่ 8 ซึ่งทำให้ ผีแดง บุกมานำ เรือใบสีฟ้า 1-0

แน่นอนว่าแม้สถิติที่ปรากฏหลังบู๊กันครบ 45 นาทีแรกจะฟ้องว่าเจ้าบ้านเหนือกว่าเยอะทั้งการครองบอล 74:26%  และโอกาสยิง 18 ครั้ง เข้ากรอบแค่ 3 ครั้ง ขณะที่อาคันตุกะได้ส่องแค่ 2 ครั้ง และเข้ากรอบครั้งเดียว แต่ทีมของกุนซือดัตช์ช่วยกันเล่นเกมรับได้อย่างแข็งขัน และประคองตัวได้สำเร็จหลังมีโอกาสสับไกหนแรกของเกม และเป็นสกอร์ทันทีจากฝีเท้าของดาวยิงทีมชาติ อังกฤษ

นอกจากจะได้ลูกยิงที่เด็ดขาดของ แรชฟอร์ด ซึ่งเพิ่งโดนโจมตีในเรื่องภาษากายในสนามพาทีมออกนำแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ยังมาได้ความเหนียวของ อ็องเดร โอนาน่า ช่วยเอาไว้ได้เยอะโดยเฉพาะการเซฟสามจังหวะอันตรายของ ฟิล โฟเด้น แถมนายทวารทีมชาติ แคเมอรูน ยังเป็นจุดเริ่มต้นการสาดบอลยาวให้ทีมได้ประตูนำหน้าอีกด้วย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทีมของ เทน ฮาก เตรียมแผนเล่นเกมรับกันได้อย่างยอดเยี่ยมโดยนักเตะทุกคนสมควรได้รับคำชมอย่างยิ่ง แต่ขณะเดียวกันจะสังเกตได้ว่า เดอ บรอยน์ จอมทัพของ แมนฯ ซิตี้ ยังปั้นเกมไม่ออก ขณะที่ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ซึ่งเพิ่งยิงไปห้าเม็ดในเกม เอฟเอคัพ ทิ้งขว้างโอกาสสอยตาข่ายแบบเห็นๆสองหนจึงทำให้สกอร์ในครึ่งแรกเป็น ผีแดง ที่นำหน้าก่อน

และในเมื่อทีมเยือนงัดเอาเกมรับอย่างหนาออกมาใช้อย่างได้ผล เรือใบสีฟ้า จึงมีสถิติไม่สู้ดีเนื่องจากตลอดครึ่งแรกที่พวกเขาได้ส่องยิงมากถึง 18 ครั้งเป็นจำนวนครั้งที่มากที่สุดในเกม พรีเมียร์ลีก ของ กวาร์ดิโอล่า ที่ทีมของเขาไม่อาจเบิกสกอร์ฝ่ายตรงข้ามได้

4. ปีทองของ โฟเด้น

แม้ตลอดครึ่งแรก โฟเด้น ไม่อาจพังประตู แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ทั้งๆที่มีโอกาสส่องยิงเหน่งๆสามหนเนื่องจาก โอนาน่า ระเบิดฟอร์มเซฟได้เรียบวุธ แต่ในที่สุดนาทีที่ 56 แฟนเจ้าบ้านก็ได้แผดเสียงเฮกันดังลั่นเมื่อดาวเตะทีมชาติ อังกฤษ แผลงฤทธิ์ตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จจากจังหวะส่องไกลเช่นกันที่คราวนี้นายทวาร ผีแดง หมดสิทธิ์เซฟอย่างแท้จริง

เท่านั้นไม่พอ ก่อนหมดเวลาสิบนาที โฟเด้น ยังยิงอีกเม็ดพาทีมแซงนำได้ด้วย และทำให้เขาคลำเป้าได้ในซีซั่นนี้เพิ่มเป็น 18 ประตูแล้วในทุกรายการซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเขาเหนือกว่าซีซั่น 2020/21 ที่เขาสอยตาข่ายได้มากที่สุด 16 ประตู

ไม่เพียงเท่านั้น โฟเด้น ยังถนัดซัดประตูทีมร่วมเมืองอย่างยิ่งอีกด้วยเนื่องจากถึงตอนนี้เขากระซวกตาข่าย แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่มได้เป็น 6 เม็ดแล้วเท่ากับ ฮาลันด์ ที่มาซัดลูกปิดกล่องได้พอดี

จากผลงานดังกล่าวทำให้เด็กปั้นของ เรือใบสีฟ้า ยิงประตูทีมร่วมเมืองในเกม พรีเมียร์ลีก สองประตูขึ้นไปได้สองครั้งซึ่งเป็นคู่แข่งเพียงทีมเดียวที่เขาถือครองสถิติที่ว่านี้ได้

ด้าน แมนฯ ยูไนเต็ด เสียสถิตินำคู่แข่งก่อนในครึ่งแรก และตกเป็นฝ่ายปราชัยจนได้หลังจากพวกเขาไม่แพ้มานานถึง 143 นัดหากเป็นฝ่ายนำหน้าฝ่ายตรงข้ามก่อนในช่วงครึ่งแรกของเกม พรีเมียร์ลีก (ชนะ 123 เสมอ 20) โดยเกมสุดท้ายที่พวกเขานำก่อนในครึ่งแรกแล้วแพ้เป็นแมตช์บู๊กับ เลสเตอร์ วันที่ 21 ก.ย.2014

และที่แน่ๆ ซีซั่นนี้ ผีแดง แพ้เกมลีกมากถึง 11 นัดแล้วจาก 27 นัดมากกว่าซีซั่นก่อน 2 นัด และมีแค่สองซีซั่นใน พรีเมียร์ลีก ที่พวกเขาแพ้ 12 นัดซึ่งปรากฏว่าผู้จัดการทีมโดนไล่ออกทั้งคู่

สำหรับสถิติหลังจบเกม 90 นาที เรือใบสีฟ้า ครองบอลเหนือกว่า 74:26% และได้ส่องยิง 27 ครั้ง เข้ากรอบ 8 ครั้ง ขณะที่ เร้ด เดวิลส์ หยุดสถิติได้ยิง 2 ครั้ง เข้ากรอบ 1 ครั้งเหมือนในครึ่งแรกอันเป็นการบ่งบอกว่าตลอดทั้งครึ่งหลังพวกเขาต้องตั้งรับสถานเดียวจนโงหัวแทบไม่ขึ้น

5. เกมตัดสินแชมป์???

หลังจากเผด็จศึก แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จแม้จะตกเป็นรองก่อนส่งผลให้ แมนฯ ซิตี้ ยังรักษาโอกาสป้องกันแชมป์ได้ต่อไปเนื่องจากทีมของ กวาร์ดิโอล่า ยังตามหลัง ลิเวอร์พูล 1 แต้มเช่นเดิม แถมทั้งคู่จะโคจรมาพะบู๊กันเองด้วยในเกมวันอาทิตย์หน้าที่ แอนฟิลด์

ฉะนั้นแล้ว เราอาจกล่าวได้เลยว่าเกมนี้เปรียบเสมือนเป็นการตัดสินแชมป์ซึ่งถือเป็นการเจอกันแบบถูกคู่ถูกเวลาอย่างยิ่ง และจะเป็นเกมที่คาดเดาผลลัพธ์ได้อย่างลำบากเนื่องจากหลายเกมหลังที่ทั้งสองทีมเผชิญหน้ากัน ผลการแข่งขันสามารถออกได้ทุกหน้า

อย่างไรก็ดี ในฐานะทีมเจ้าบ้าน หงส์แดง ได้เปรียบเรื่องเสียงเชียร์อย่างไม่ต้องสงสัย และพวกเขาไม่ค่อยเสียท่าให้ เรือใบสีฟ้า ในรังตัวเองจากสถิติที่ปรากฏซึ่งถือเป็นเกมยากที่ กวาร์ดิโอล่า จะต้องพยายามหาวิธีบุกไปกำชัยที่ แอนฟิลด์ ให้ได้หากอยากพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ต่ออีกสมัย  

ในทางกลับกันเชื่อได้เลยว่านักเตะของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่มีทางปล่อยให้ใครหน้าไหนออกจากสนามพร้อมกับสามแต้มง่ายๆเด็ดขาดต่อให้พวกเขาอาจขาดกำลังสำคัญบางราย แต่ดาวรุ่งพุ่งแรงทั้งหลายมีทีเด็ดมากพอที่จะพาทีมทะยานไปข้างหน้าได้

ยิ่งไปกว่านั้น หลายต่อหลายเกมที่ ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นว่ามาโดยตลอดว่าพวกเขาพร้อมกำชัยได้เสมอต่อให้ล่วงเข้าสู่ช่วงทดเวลาก็ตาม อย่างนัดล่าสุดกับ ฟอเรสต์  ดาร์วิน นูนเญซ พังประตูให้ทีมเก็บสามแต้มสำคัญได้สำเร็จแม้จะไม่ใช่วันที่ เครื่องจักรสีแดง ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพก็เถอะซึ่งถือเป็นสิ่งที่ แมนฯ ซิตี้ ไม่อาจประมาทได้อย่างเด็ดขาด


ที่มาของภาพ : gettyimages, twitter.com
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport