แมนยูผู้มีปัญหา

แมนยูผู้มีปัญหา
มองเรื่องของ เมสัน กรีนวู้ด แบบไม่ต้องถอดบทเรียนอะไร เพราะมันมีเกิดขึ้นในวงการฟุตบอลอาชีพอยู่บ่อยๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นนอกสนามแต่ลุกลามมาในสนาม เพราะนี่คือ "วัฒนธรรม" ฟุตบอลฟากยุโรป

ถ้าเราเข้าใจคำว่านักเตะอาชีพ มากพอ สิ่งที่ เมสัน กรีนวู้ด โดนลงโทษทั้งจากสโมสร และสังคมอังกฤษ มันคือเรื่องปกติ

ในนามของนักบอลอาชีพ คือคนที่มีความสามารถมากกว่าคนปกติทั่วไป เพราะผ่านการกระบวนการฝึกฝนอยากหนัก ตั้งแต่เด็กเยาวชน เอาชนะใจตัวเองและคู่แข่ง จนก้าวมาเป็นนักเตะอาชีพ และเป็นตัวแทนสโมสรที่เพียบพร้อมด้วยเกียรติภูมิระดับโลกอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

นักบอลอาชีพในความหมายเชิงคุณค่าคือ "ตัวแทน"และ "ความฝัน"ของ หมู่บ้านในทุกเรื่องครับ

ตัวแทนแฟนบอลแมนฯยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ 

ความฝันของแฟนบอลโดยเฉพาะผู้ชายทั้งหลายที่อยากเป็นนักเตะอาชีพ แต่ไม่ได้เป็น ติดขัดด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งมีความสามารถจำกัด ไปต่อไม่ได้ ติดเรื่องเรียน หรืออีกมากมาย แต่เมื่อมีคนเป็นนักเตะอาชีพได้ พวกเขามาติดตามเชียร์ในสนาม นักเตะอาชีพคือตัวแทนและความฝันของแฟนบอล แม้เรามองว่าเราเชียร์ทีมเป็นหลัก แต่ทีมสร้างนักเตะ สร้างฮีโร ให้เราเชียร์อย่างมีแพสชั่น

เหมือนมาดูตัวแทนของตัวเองเล่นบอลในสนามแบบ เชียร์ได้ ด่าได้ 

นั่นก็ส่วนหนึ่งแต่ความคาดหวังของสังคมคือ นักเตะอาชีพผ่านกระบวนการฝึกทั้งร่างกายและทัศนคติ มากกว่าคนปกติทั่วไป พวกเขามีความเก่งกาจสามารถในเรื่องที่ทำอยู่ในสนาม เชิงบอลได้

บวกกับทัศนคติเด่น เพราะต้องมีวินัย, มุ่งมั่น, ตั้งใจ เรียนรู้ในการอดทน อดกลั้น ต่อการฝึกซ้อม ต้องเล่นตามกติกา ล้ำเส้นกฏ กติาได้บ้าง แต่ก็คงไม่ถึงกับก้าวข้ามไปเลย  แต่ด้วยคำว่า "ตัวแทน" หรือ "ต้นแบบ" โดยเฉพาะการสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ รุ่นต่อไป 

นักบอลอาชีพจึงมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไป แม้เราจะมองว่า "เขาก็คือคนๆหนึ่ง"

คนเหมือนกันแต่คนไม่เหมือนกันครับ

คนไม่เหมือนคนที่ผ่านการฝึกอย่างหนักและนานหลายปีกว่าจะเก่งกาจ มีความสามารถในเชิงฟุตบอล ยังไงคนที่ผ่านการฝึกย่อมมีความแตกต่างกว่าคนที่ไม่ผ่านการฝึกหรือผ่านการฝึกฝนน้อยกว่า ดังนั้นสังคมคาดหวังในมุมสว่างของนักบอลอาชีพมากกว่าจะเป็นมุมมืด

ภาพนี้ชัดเจนในสังคมฟุตบอลอาชีพ

กรณี เมสัน กรีนวู้ด ค้างคามาแรมปี ตั้งแต่โดนตำรวจรวบตัว ม.ค. 2022 กรณี ข่มขู่ ทำร้ายร่างกายและข่มขืนแฟนสาวตัวเอง จากนั้น ต.ค. 2022จึงขึ้นศาลด้วยข้อกล่าวหา "บังคับข่มขู่, พยายามข่มขืน, ทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยๆ"

แม้ยังเป็นผู้โดนกล่าวหา ต้องมีการไต่สวนคดีความในชั้นศาล จึงเป็นไปได้ยากที่จะลงเล่นบอล ก็พักยาวไปสู้คดีกันจน ก.พ. 2023 ปรากฏว่าศาล "ยกฟ้อง" ด้วยเพราะ พยานปากเอกฝ่ายโจทก์ (แฟนสาว) ขอถอนฟ้อง การพิจารณาในชั้นศาลจึงยุติ และทางกฏหมายเขาหลุดพ้นคดีนี้ในฐานะผู้บริสุทธิ์

ทว่า...ในทางสังคม เมสัน กรีนวู้ด โดนพิพากษาเรียบร้อยแล้วว่า "ผิด"

ยิ่งสังคมอังกฤษด้วยแล้ว การซ้อมแฟน, ตบตีทำร้ายร่างกายแถมขอหลับนอนด้วย แต่แฟนไม่ยอม มันคือ "พยายามข่มขืน" แม้หลักฐานนั้นจากได้มาจากปรากฏโซเชียล มีเดีย ก็ตาม

กรีนวู้ด เป็นจำเลยสังคมมาตลอดหนึ่งปี แม้พ้นผิดจากข้อกล่าวหา แต่มันเป็นเพราะศาล "ยกฟ้อง" การไต่สวนจึงต้องยุติลงหาข้อพิพากษาไม่ได้ 

ประเด็นของเรื่องไม่จบง่ายๆ เพราะ มันเกี่ยวข้องกับสนามบอล ไม่ใช่เรื่อง "กลับมาเล่น" อย่างเดียว แต่มันคือเรื่องภาพลักษณ์สโมสร และการบริหารวิกฤตของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้ ซีอีโอ ริชาร์ด อาร์โนลด์ เด็กในคาถาของ บ้านเกลเซอร์ อีกคนหนึ่ง

เรื่องมันก็ทอดยาวบานปลายตั้งแต่ยังไต่สวนจนถึงยกฟ้อง ไม่ปรากฏว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะออกหนึ่งออกสองเรื่องนี้ คาราคาซัง ว่าเอาไงกับนักเตะฝีเท้าดีที่สร้างขึ้นมาเองอย่าง กรีนวู้ด ด้วยเพราะมันอึมครึมไปหมด แถมรอฟังกระแสเสียงต่อต้านจากกลุ่มนักบอลหญิง, แฟนบอลผู้หญิง ของแมนฯยูฯ 

ประหนึ่งว่า "นักเตะหญิงแมนฯยูฯ แฟนบอลหญิงแมนฯยูฯ" จะไม่ยอมรับให้ กรีนวู้ด กลับมาเล่นในทีมอีก อาจจะต้องรอนักเตะแมนฯยูฯสาวๆที่ไปเล่นบอลโลกกลับมาค่อยปรึกษากัน 

เกมล่าสุดที่ชนะวูล์ฟคงเห็นป้ายหลายป้ายที่โจมตีสโมสรอะนะ ประมาณว่าอย่าเอาผู้หญิงไปอ้างสิ

ภาษาบอลคือ "ส่งเฝือก" 

ก็เพราะไม่ทำอะไรมาตั้งแต่แรก ปล่อยลากยาวมาจนล่าสุดตั้งคณะกรรมการไต่สวนภายใน แล้วออกมาสรุป "ยกเลิกสัญญา" ที่เหลือจนถึงปี 2025 

จากนั้นมีแถลงการณ์ของสโมสร, ริชาร์ด อาร์โนลด์ และเมสัน กรีนวู้ด ซึ่งถ้อยแถลงทั้งหมดนั้น.....อ่านแล้วไม่ "เคลียร์คัดชัดแจ้ง" พอๆกับ VAR พรีเมียร์ลีก มันเหมือนกับปกปิดความผิดและความผิดพลาดของการบริหารงานตัวเองยังไงชอบกล

ที่สำคัญมีสื่อมวลชนสายทีวีคือพิธีกรสาวชื่อดังทางช่อง4 ของอังกฤษ (ฟรีทีวี) ที่ชื่อ เรเชล ไรลีย์ ออกมาประกาศก่อนหน้าที่สโมสรจะไต่สวนว่า "ถ้ามี กรีนวู้ด กลับมาเล่นเธอจะเลิกเชียร์แมนฯยูฯ"

คุณเรเชล นี่ดังใช้ได้ เพราะออกฟรีทีวีหลายช่อง เคยทำงานกับช่องitv (ช่องสามอังกฤษ) และ ช่อง5  ปัจจุบันเป็นพิธีกรรายการกีฬา "บอลวันศุกร์" ทางสกายสปอร์ต (เคเบิลทีวี) และประจำฟรีทีวีที่ ช่อง4 กับรายการเกมโชว์ ชื่อดัง  Countdown 

รายการ Countdown นี่ผมชอบดูมากครับ

สมัยผมทำงานที่อังกฤษเมื่อช่วงปี 1996-98 ผมนั่งดูบ่อยๆ รายการมีช่วงกลางวัน มีพิธีกรหลัก ตอนนั้น ริชาร์ด ไวท์ลีย์ (เสียไปแล้ว) กับพิธีกรร่วมคือ คารอล วอร์เดอร์แมน รายการนี้คือเกมคิดเลขเร็ว เช่นให้โจทย์เป็นตัวเลข  568 แล้วมีตัวเลขให้เลือกว่าจะคำนวณทางคณิตศาสตร์ ยังไงให้ได้ผลลัพท์ 568 จะ บวกลบคูณหาร, ถอดสแควร์รูท, ยกกำลัง....แล้วแต่สมองเลย ซึ่งผู้แข่งขันก็ต้องแข่งกัน ขณะที่พิธีกรสาวชื่อคารอล คิดเลขเร็วมาก ทำไปพร้อมกับผู้แข่งขัน แล้วเฉลยวิธีคิดของเธอ (เลิกทำรายการไปแล้ว) จนดังไปทั่วอังกฤษ

 เรเชล เองก็คล้ายๆกับ คารอล เธอ เก่งคณิตศาสตร์ ทำรายการนี้ก็มีชื่อเสียงมานับจากปี 2009 

เมื่อบุคคลระดับ เรเชล ออกหน้าแบบนี้ นับว่ามีอิทธิพลไม่น้อยทีเดียว เพราะเธอไม่เห็นด้วยกับสองเรื่องคือ กรีนวู้ด ควรไปจาก แมนฯยูฯ และ แมนฯยูฯ จัดการปัญหานี้ได้แย่มาก และเหมือนตบตาหลอกหลวงแฟนบอลในการแก้ปัญหาเอาตัวรอดไป ทั้งที่ตัวเองทำผิด

หัวข้อข่าวล่าสุดเธอโจมตีแถลงการณ์สโมสรด้วยการเล่นคำว่า "gaslighting" ซึ่งผมไปถามข้อมูลจากนักจิตวิทยาได้ความว่ามันคือ "การกระทำที่ทำให้คนเกิดความคิดว่าตัวเองนั้นสงสัยในความคิดหรือสติปัญญาของตัวเอง" สรุปง่ายๆคือ "ปั่น" ให้เราคิดว่าตัวของเรานั้นคิดว่าเราคิดและทำไรผิดพลาดจริงๆ ทั้งที่ความจริงเราไม่ได้คิดผิดหรือทำอะไรผิด เราคิดถูกแล้วแต่มีคนมาปั่นให้เรารู้สึกตัวว่าเราผิด

ด้วยเพราะแถลงการณ์ที่ใจความสำคัญของสโมสรระบุว่า " กรีนวู้ด ไม่ได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาในครั้งแรก" รวมทั้ง "เรายึดตามหลักฐานที่เรามีอยู่ ส่วนหลักฐานที่โพสต์ออนไลน์นั้นไม่สามารถใช้ประกอบการพิจารณาได้ทั้งหมด"

จากนั้น ริชาร์ด อาร์โนลด์ ก็แถลงการณ์ "พวกเราไม่สามารถรวบรวมหลักฐานที่ชัดเจนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น หลักฐานที่เรามีอยู่นั้นทำให้เราสรุปได้ว่า เมสัน กรีนวู้ด ไม่ได้กระทำความผิดที่โดนตั้งข้อกล่าวหา"

ส่วน เมสัน กรีนวู้ด แถลงด้วยใจความสำคัญว่า "ทำผิดพลาด" และ "ร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น" รวมทั้ง "ผมไม่ได้ทำความผิดตามที่ผมโดนข้อกล่าวหา"

นี่แหละ....."ประเด็น" ของเรื่องที่คุณพิธีกร เรเชล ไรลีย์ แห่ง ช่อง4 และรายการกีฬาของสกายสปอต์ แฟนผีแดงเข้าเส้น ออกมาโจมตีอีกระลอกล่าสุด ด้วยเพราะทั้งสามแถลงการณ์ สรุปแบบให้เราเข้าใจคือ "เมสัน กรีนวู้ด (แม้กระทั่งตัวเอง) ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำความผิด" 

อีกทั้งทีมบริหารสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกำลังบอกสังคมว่า พวกเขาก็จัดการกับปัญหาแล้ว ทุกอย่างเคลียร์ แต่พวกเราแฟนบอล, สื่อคิดมากกันไปเอง ไม่มีอะไรหรอก  กรีนวู้ด พ้นผิดแล้วนะ ไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย 

ทั้งที่ความจริงคือสโมสรนั่นแหละผิดพลาด บริหาร รับมือวิกฤตได้ไม่ดี ส่งผลให้เรื่อง กรีนวู้ด ลุกลามมาเป็นปี จนเป็นปมปัญหาคาราคาซังรวมทั้ง เรื่องที่เกิดขึ้นแม้หลักฐานจะมาจาก "โซเชียล มีเดีย" ของแฟนสาว แต่ภาพนั้นชัดเจน

 แถลงการณ์ของสโมสรจึงเป็น  gaslighting  ซ่อนปมที่ทีมบริหารผิดพลาดเชิงบริหารจัดการปัญหาแต่กลับไม่ยอมรับว่าตัวเองทำผิดนั่นเอง

หากคุณมั่นใจว่า กรีนวู้ด พ้นผิดไม่มีหลักฐานเอาผิด แล้วไปยกเลิกสัญญาทำไม 

แถลงแบบคลุมเคลือว่า "จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถานการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดความยากลำบากในการเล่นกับแมนฯยูไนเต็ดต่อ...จึงเห็นสมควรให้ยกเลิกสัญญาอย่างยินยอมพร้อมใจ"

กรณีนี้สัญญาเหลืออีก2 ปี ซึ่ง "บ้านเกลเซอร์"ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย เซฟเงินได้อีกก้อน (คุ้มกับราคาที่จ่ายหรือเปล่าไม่รู้)

ที่หนักกว่านั้น คุณเรเชล ไรลีย์ ยังบอกว่า "แถลงการณ์" ของแมนฯยูฯ ยังเป็นสัญญาณ "greenlight" หรือไฟเขียวให้พวกชอบเหยียด , แซะ, ด่าทอ ทางโซเชียล ไปโจมตี เหยื่อจากเรื่องนี้ จะทั้งกรีนวู้ดและแฟนสาวเองก็ตาม

เรียกว่าสาดน้ำมันเข้ากองไฟ.....นั่นแหละ

เรเชล สรุปว่า "คำถามถึงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ใช่เรื่องที่ เมสัน กรีนวู้ด กระทำความผิดหรือการขึ้นศาลของเขา มันคือเรื่องที่ว่า กรีนวู้ด มีความเหมาะสมเพียงพอขนาดไหนที่จะสวมเสื้อที่มีโลโกปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เป็นต้นแบบของเยาวชน ที่เฝ้าติดตามดูฮีโรนักเตะของพวกเขา พร้อมชื่อที่ปีกข้างหลังเสื้อแมนฯยูฯ ที่แขวนขายในร้านค้าของสโมสร"

ถ้าใช้วาทะกรรมหล่อๆ คมๆ ก็คงประมาณว่า

"โลโก้ ที่หน้าอกเสื้อสำคัญกว่าชื่อที่อยู่ด้านหลัง"

เอาจริงๆนะครับ เรื่องนี้มันก็มองได้หลายมุม ถ้าทางกฏหมายเขาพ้นผิดอยู่แล้ว อันนี้ชัดเจน แต่ในทางสังคมนี่แหละ ผู้คน, สื่อ, นักวิเคราะห์ ต่างก็เชื่อว่าเขาผิดเต็มประตู แต่อย่างว่าแหละ....สิ่งที่เกิดขึ้นกับปัญหาคาใจกันมาแรมปีโดยที่สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บริหารจัดการกับปัญหานี้ได้ "แย่มากๆ"

ส่งผลกระทบถึงการทำงานในสนามฟุตบอลของทีม ว่าจะเอาไงดีกับเรื่องนี้ เอาไว้หรือเตะออกไป ทำอะไรสักอย่าง รวมทั้งสังคมมองการบริหารของทีมว่า "มือสมัครเล่น" 

ส่วนเรื่องที่มองข้ามไม่ได้คือ "มาตรฐานสังคม" ที่มาจากวัฒนธรรมฟุตบอล ยังไงเสีย "ต้นแบบ"อย่าง เมสัน กรีนวู้ด ก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่ควรอ้อมๆแอ้มๆ ในแถลงการณ์ ประหนึ่งรับผิดครึ่งเดียว...

ทีมบริหารแมนฯยูฯ น่าจะคุยกับ เมสัน กรีนวู้ด เองตั้งแต่แรก เพื่อจบเรื่องนี้ ดับปัญหาให้เร็ว ประมาณว่า "รับผิดไปเลยแบบ แมนๆ" แล้วก็ยกเลิกสัญญาหรือมีค่าน้ำร้อนน้ำชาให้ซะหน่อย

ด้วยเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดที่จะได้โอกาสไปต่อกับแมนฯยูไนเต็ด มันเป็นมิติเชิงสังคม มันไกลกว่าในสนามบอลมาก ตรงนั้นคือเรื่องใหญ่ของสังคมอังกฤษ มันต้องมี "บรรทัดฐาน" ต่อความผิดที่มากกว่า ใบแดง ชกต่อยกันในสนามบอล หรือกระทั่งกรณี "กังฟูคิก" ของ เอริก คันโตนา (ตอนนั้นสโมสรสั่งลงโทษก่อนสมาคมฟุตบอลซะอีก) 

กรณี กรีนวู้ด คงจะได้รับโอกาสจากสังคมกับสโมสรอื่นๆ คงไม่ใช่ แมนฯยูไนเต็ดอีกแล้ว ซึ่งทีมอื่นจะรับเซ้งต่อหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง มันขึ้นกับแฟนบอล,ตัวเขาเอง และสโมสรที่จะใช้บริหาร กรีนวู้ด นักเตะคุณภาพที่ปราศจากทัศนคติในการใช้ชีวิต

ดังนั้นเรื่องนี้พอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลากยาวไม่พยายามแก้ปัญหา ไม่พยายามทำอะไรสักอย่างเลย.....จนปีกว่าๆ ค่อยมายกเลิกสัญญา พร้อมแถลงการณ์แบบ "ซ่อนความผิดตัวเอง" อีก

ปีศาจแดงจึงดูไม่จืดอีกครั้งในสายตาประชาชนคนฟุตบอล

สิ่งสำคัญที่สุดของเรื่องนี้คงไม่ใช่ เมสัน กรีนวู้ด คนเดียว เพราะตัวเล็กเกินไป  ด้วยเพราะ"ภาพลักษณ์" ของผีแดงนี่แหละสำคัญกว่า มันประเดประดังเข้ามาในยุค "บ้านเกลเซอร์" ทั้งเรื่องนั้น เรื่องนี้ 

จนล่าสุดเป็นอีกครั้งที่ภาพลักษณ์สโมสรมีรอยขีดข่วนใหญ่ๆให้เห็นไปทั่วโลก

JACKIE


ที่มาของภาพ : getty images
BY : JACKIE
อดิสรณ์ พึ่งยา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport