นับถอยหลังสู่วันลา

เมื่อเวลาใกล้หมดลงเรื่อยๆ และเสียงเชียร์จากแฟนบอลยังคงเร่งเร้า เขาจะคิดอะไรอยู่นะ..

ด้วยสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ คงไม่คิดอะไรมากไปกว่าการเอาชนะ แอสตัน วิลล่า ให้ได้ เขาเพิ่งจะทำประตูที่ 110 ในชุดลิเวอร์พูลตีเสมอให้ทีมไปหมาดๆ และยังมีเวลาเหลือพอที่จะแซงชนะเก็บสามคะแนนยืดความหวังไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ต่อในเกมสุดท้ายของฤดูกาล

โฟกัสของเขาคงมีแค่นั้น เช่นเดียวกับแฟนบอล เป้าหมายในเวลานั้นชัดเจน มันคือช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย ทำได้ก็ลุ้นต่อ ทำไม่ได้ก็บอกลาแชมเปี้ยนส์ ลีกซีซั่นหน้า

แล้วในที่สุดเมื่อเสียงนกหวีดหมดเวลาดังขึ้น ความหวังของลิเวอร์พูลที่เรืองรองขึ้นมาอีกครั้งตลอดเดือนที่ผ่านมาก็มอดมลายไป ในทางทฤษฎียังมีโอกาส แต่ในทางปฏิบัติมันใกล้เคียงกับคำว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว

และ ณ เวลาที่ทุกอย่างในเกมสิ้นสุดลงนั่นแหละ ความรู้สึกนั้นคงจะเริ่มแทรกซึมกลับเข้ามาอีกครั้ง..

โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ จะคิดอะไรอยู่นะเมื่อเกมฟุตบอลจบลงและสัมผัสแห่งเกมชีวิตค่อยๆ ชัดขึ้น ชัดขึ้น

บรรยากาศรอบตัวที่คุ้นเคย เสียงเชียร์ดังสนั่นหวั่นไหวจากเดอะค็อปรอบสนาม เต็มอัฒจันทร์ทั้งสี่ด้านแห่งแอนฟิลด์ เขายืนอยู่ตรงนั้น บนสนามหญ้าเขียวอ่อนนุ่มที่เคยย่ำมาแล้วทุกจุดตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เดิน วิ่ง สปีดเอาบอล ฉีกทางเปิดพื้นที่ให้เพื่อน ล้มกลิ้งเมื่อถูกสกัด ยืนคุยกับคู่แข่ง ถกเถียงกรรมการ วางเท้าหวดประตู หรือฉลองด้วยท่าดีใจสารพัดจะสรรหามาอวดทุกคนด้วยอารมณ์สนุก

เขาคงรู้ด้วยซ้ำว่าพื้นตรงไหนเป็นอย่างไร ตรงนั้นมักจะแฉะเกินไป ตรงนู้นลาดเอียงนิดหน่อย หรือตรงโน้นต้องระวังเพราะไม่เรียบนัก

ผืนหญ้าแห่งสนามแอนฟิลด์.. เขารู้จักมันดียิ่งกว่าสนามหญ้าหน้าบ้านตัวเองเสียอีก และในวันที่ความจริงของชีวิตพุ่งเข้ามาปะทะเต็มแรงหลังสมาธิอันเข้มข้นในเกมจบลงตามเสียงนกหวีดผู้ตัดสิน เขาก็อยู่ท่ามกลางความจริงรอบตัวอีกครั้ง.. มันคือวันสุดท้ายแล้วที่เขาได้สวมชุดแข่งนี้ลงสนามต่อหน้าพวกเขาเหล่านี้ ในสนามแห่งนี้

เขาจะรู้สึกอย่างไรกันนะเมื่อความจริงนั้นชัดเจนขึ้นอีกหน คู่ต่อสู้ที่เดินเข้ามาจับมือ เพื่อนที่เดินเข้ามากอด เจ้านายและสตาฟฟ์โค้ชที่ผูกพันกันมานาน แฟนบอลที่ยังคงตะเบ็งเสียงกึกก้อง

ผลเสมอและความหวังไปแชมเปี้ยนส์ ลีกที่หลุดลอยไปเกือบร้อยเปอร์เซนต์กลายเป็นเพียงเรื่องขี้ปะติ๋ว เพราะนาทีนั้น บ๊อบบี้ และทุกคนในสนามได้อยู่กับความรู้สึกนี้อย่างแท้จริง.. มันคือวันสุดท้ายแล้วที่เราจะได้เห็นกันในบทบาทนี้

เสียงเพลงยังคงดังกระหึ่มไม่ขาดตอน ไม่ต้องเงี่ยหูฟังด้วยซ้ำว่าพวกเขาร้องเพลงอะไร

Si Senor ที่ดังเป็นพิเศษ ไพเราะเป็นพิเศษ ยาวนานเป็นพิเศษนั้นยังเจือความเศร้าเป็นพิเศษด้วย บางคนตะโกนร้องมันทั้งน้ำตา แค่คิดถึงวีรกรรมอันน่ารักน่าหยิกที่มีนับไม่ถ้วนของเขาขึ้นมาสักอย่างก็พาให้น้ำในตาเอ่อแล้ว..

คิดถึง โคตรจะคิดถึงเลย.. ยังไม่ทันลากันจริงๆ ก็คิดถึงแล้ว ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งรัก ยิ่งรักก็ยิ่งตะเบ็งเสียงร้องเพลงให้ดังที่สุด ราวกับอยากให้เสียงนั้นทะลวงลงไปฝังอยู่ในใจบ๊อบบี้ ให้เขาไม่ลืมว่าคนที่นี่รักเขามากแค่ไหน

แล้วกับคนที่ยืนฟังมันอยู่ในสนามอย่างเขาเล่า คนที่กำลังซึมซับความรักอาลัยอันบริสุทธิ์มวลใหญ่ที่พุ่งเข้ามาใส่.. ที่เคยไม่แน่ใจก็ยิ่งรู้ ที่เคยรู้ก็ยิ่งชัด ที่เคยชัดก็ยิ่งชัดขึ้นไปอีก ไม่มีอะไรให้ไม่มั่นใจอีกแล้ว เดอะค็อปรักเขาจริงๆ

ในบรรยากาศแห่งการร่ำลานั้น ถ้าเราเป็นเขา เราก็คงกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เช่นกัน

อยากให้ลองหาคลิปตอนที่ฟีร์มิโน่วิ่งลงมาสู่พิธีการในสนามมาดูกันนะครับ เสียงเพลง Si Senor ในแอนฟิลด์ดังมากจริงๆ ผมคิดว่ามันเป็น Si Senor ที่ดังกระหึ่มที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาเลย..

---------------------------

สินค้าทุกชนิดทุกชิ้นที่เกี่ยวกับฟีร์มิโน่ขายหมดเกลี้ยงทั้งในสโตร์และร้านค้าย่อยรอบสนามแอนฟิลด์ ทุกคนอยากเก็บอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเขาในวันนี้ไว้เป็นที่ระลึก ขณะที่ในเกม เจอร์เก้น คล็อปป์ พักเขาไว้ข้างสนามรอโอกาสส่งลงไปลาแฟนบอล

ในเรื่องของการแข่งขันมันคือเกมที่น่าผิดหวัง โดยเฉพาะ 45 นาทีของครึ่งแรกที่ทุกอย่างดูร้อนรนไปหมด แอสตัน วิลล่า ของ อูไน เอเมรี่ เตรียมรับมือมาดี เล่นอย่างมีสมาธิ และมีแบบแผนชัดเจน ฉวยโอกาสโจมตีทันทีเมื่อแย่งบอลได้ อาศัยความเร็วของ โอลลี่ วัตกิ้นส์ เล่นงานแนวรับเจ้าถิ่น

วิลล่าปล่อยหมัดขู่แบบนี้เป็นระยะและได้ลุ้นมากขึ้นทุกที คล็อปป์ยอมรับว่าลูกทีมตั้งหลักให้นิ่งไม่ได้เลยในครึ่งแรก จุดโทษที่ อิบราฮิมา โกนาเต้ เสียบ วัตกิ้นส์ เป็นบทเรียนแรก ทีมรอดตัวหวุดหวิดเพราะวัตกิ้นส์ยิงออกไปเอง แต่การสกัดบอลไม่ขาด 3-4 ครั้งจนการยืนตำแหน่งผิดเพี้ยนถูก ดั๊กกลาส ลุยซ์ ตักบอลให้ จาค็อบ แรมซี่ย์ ยิงโล่งๆ ที่เสาไกลให้ทีมสิงห์ผงาดขึ้นนำในห้านาทีต่อมาคือการโดนลงโทษที่สมควร

นักเตะลิเวอร์พูลจบครึ่งแรกด้วยอาการหงุดหงิดตัวเองแน่ มันน่าจะเป็น 45 นาทีที่เต็มไปด้วยความผิดพลาด ลนลาน และไม่ได้ดั่งใจที่สุดครั้งหนึ่งของพวกเขา สถิติการยิงตรงกรอบเป็นศูนย์

ครึ่งหลังเกมยิ่งอึดอัดขึ้นไปอีกเมื่อวิลล่างัดแผนถ่วงเวลามาใช้ เกมจิตวิทยานี้ยิ่งทำให้ลิเวอร์พูลต้องควบคุมอารมณ์ให้ดี ดึงเกมมาอยู่ในสมาธิให้ได้ การลงสนามของ ดีโอโก้ โชต้า ในนาทีที่ 63 ตามมาด้วย ฟีร์มิโน่, เจมส์ มิลเนอร์ และ คอสตาส ซิมิกาส ในช่วง 18 นาทีสุดท้ายเพิ่มความสดชื่นและมิติใหม่ๆ ให้ทีม

หัวใจของมิลเนอร์พาให้ทีมเดินหน้าบนทิศทางที่มุ่งมั่น ขณะที่คลาสของฟีร์มิโน่ทำให้ทีมยกระดับ คล็อปป์บอกว่าคุณสมบัติแบบนี้ไม่ได้มีอยู่ในตัวนักเตะทุกคนหากแต่เป็นบางคน มิลลี่กับบ๊อบบี้มีมันอยู่ชัดเจนและทุกคนในทีมจะคิดถึงพวกเขาแน่

ตอนที่ฟีร์มิโน่พุ่งชาร์จลูกเปิดของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ตีเสมอให้ทีมในนาทีที่ 89 ผมขนลุก..

หลายคนคงรู้สึกคล้ายๆ กันว่ามันเหมือนมีใครสักคนเขียนสคริปต์ไว้อย่างนั้น คนยิงตีเสมอมีมากมายทำไมต้องเป็นบ๊อบบี้ที่ "ยิงแบบบ๊อบบี้" ต่อหน้าเดอะค็อป ในช่วงเวลาที่ทีมต้องการประตูที่สุด

เมื่อผู้ตัดสินที่สี่ชูป้ายทดเวลา 10 นาที ผมแอบหวังถึงประตูชัยอย่างที่ทีมเคยทำได้มาหลายครั้ง ถ้าจะมีวันไหนที่พลังงานพิเศษแห่งความเป็นวันพิเศษแผลงฤทธิ์ มันก็ต้องเป็นวันนี้ นาทีนี้ เวลานี้ ทุกอย่างปูทางสู่การแซงชนะที่สุดจะดราม่าให้แล้ว

น่าเสียดายที่ประตูที่ 110 ในชุดลิเวอร์พูลของบ๊อบบี้ลูกนั้นคือประตูสุดท้ายที่เกิดขึ้นในเกม ทีมทำได้แค่เสมอ 1-1 และความหวังไปแชมเปี้ยนส์ ลีกหลุดลอยไปอย่างไม่เป็นทางการ

ลิเวอร์พูลกำลังจะไม่ได้ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี มันอาจจะน่าผิดหวังแต่ถ้าเราถอยหลังออกมาอีกสักนิด ดูการต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อของทีม พลิกสถานการณ์ที่เคยวิกฤติกลับมาได้ขนาดนี้มันก็ไม่มีอะไรที่ไม่น่าพอใจถึงขนาดต้องโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนเกินไป

ทีมมีปัญหาก็แก้ปัญหา คล็อปป์กับนักเตะของเขาทำได้ดีด้วยรูปแบบการเล่นใหม่ ด้วยนักเตะที่ตอบสนองโอกาสที่ได้รับ ด้วยการชนะรวด 7 เกมติดต่อกันจนบีบช่องว่างที่เคยถูกทิ้งห่าง 12 แต้มมาเหลือแค่คะแนนเดียว และยังด้วยทิศทางที่เป็นบวกสำหรับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงปิดฤดูกาล

กับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ เกมนี้เขาทำให้ทีมได้หนึ่งคะแนน ฤดูกาลนี้เขายิงในลีกไป 10 ประตู และทำให้ทีมชิงกลับมาได้ 5 แต้ม มันสำคัญสำหรับการได้ไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรป จะเป็นคืนอังคาร-พุธ หรือคืนพฤหัสฯ ก็สุดแท้แต่ความเป็นไปจะให้บทสรุป

ฤดูกาล 2022/23 กำลังจะจบลงในสัปดาห์หน้าแล้ว ปีหนึ่งๆ ผ่านไปเร็วจริงๆ นะครับ แต่ในความเร็วนั้นก็ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวน้อยใหญ่มากมาย

สำหรับลิเวอร์พูลได้พบกับฤดูกาลที่หนักหนาสาหัส หากในขณะเดียวกันเราก็ได้เห็นความรับผิดชอบของทุกคนในทีม การไม่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมแต่ลุกขึ้นสู้กับมันอย่างท้าทาย

ความเปลี่ยนแปลงคืบคลานเข้ามา คล็อปป์กำลังพาลิเวอร์พูลเข้าสู่ยุดผลัดใบซึ่งมันเริ่มทยอยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว

แผนงานมีอยู่ กระทั่งในฤดูกาลนี้ก็เช่นกัน ไม่ใช่ไม่มีการวางแผนอะไรไว้เลย เพียงแต่ฤดูกาลนี้สถานการณ์ผิดไปจากแผนที่วางไว้ แน่นอนเขายืดอกรับผิดชอบและถลกแขนเสื้อขึ้นลุยต่อ ยังคงมีพลังเต็มเปี่ยมที่จะพาทีมเดินไปข้างหน้า

นับถอยหลังสู่วันปิดฤดูกาลครับ และก็นับถอยหลังสู่วันลาจากกันอย่างเป็นทางการด้วย ทั้ง บ๊อบบี้ มิลเนอร์ เกอิต้า และ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน มันคงไม่ใช่ลาแล้วลาขาด เราจะยังได้เจอกันใหม่แน่นอน..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport