3 คะแนนลุ้นแชมป์กับลุ้นท็อปโฟร์! เจาะ 5 ข้อก่อนเกม ลิเวอร์พูล เยือน แมนซิตี้

ลิเวอร์พูล เตรียมทำศึกสำคัญในการลุ้นอันดับท็อปโฟร์ เมื่อต้องบุกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 1 เมษายนนี้ โดยพวกเขาหมดสิทธิ์ใช้งาน หลุยส์ ดิอาซ แต่ ดาร์วิน นูนเญซ น่าจะพร้อมไล่ล่าตาข่าย ขณะที่ "เรือใบสีฟ้า" ซึ่งมีสถิติที่ดีเยี่ยมในการรับมือ "หงส์แดง" ในบ้านตัวเอง ยังต้องลุ้นว่า เออร์ลิง ฮาลันด์ จะฟิตพร้อมช่วยทีมได้หรือไม่ โดยเกมนี้มีความหมายกับทั้งสองทีมอย่างมาก เพราะเจ้าบ้านต้องการสามคะแนนเพื่อเบียดกับ อาร์เซน่อล ในการลุ้นแชมป์ลีก ส่วน "เดอะ เร้ดส์" ต้องการชัยชนะเพื่อต่อลมหายใจสำหรับโควต้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

1. อดทนรอ ดิอาซ อีกหน่อย

หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจสำหรับเกมนี้ก็คือการได้เห็น หลุยส์ ดิอาซ กลับมาร่วมซ้อมกับกลุ่มทีมได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าสาวก "เดอะ ค็อป" เนื้อเต้นสุดๆ เพราะทำให้พวกเขามีลุ้นว่าจะได้เห็นนักเตะขวัญใจกลับมาลงสนามให้กับต้นสังกัดในแมตช์สำคัญนี้

อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ ยืนยันชัดเจนว่า ดิอาซ ยังไม่พร้อมที่จะลงสนามในเกมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะนักเตะเพิ่งจะได้ลงสนามกับทีม แต่ยังไม่ได้เต็มรูปแบบ ฉะนั้นจึงไม่อยากเสี่ยงใช้งานเนื่องจากอาจเกิดผิดพลาดและทำให้นักเตะต้องเจ็บซ้ำอีกครั้ง

ฉะนั้นตอนนี้แฟนบอล "เดอะ เร้ดส์" ต้องอดทนรอกันไปก่อน และน่าจะมีโอกาสได้เห็น สตาร์ชาวโคลอมเบีย กลับมาโชว์ลีลากระชากลากเลื้อย ลงสนามในแมตช์พบ "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล แต่ถ้าชัวร์ๆ น่าจะเป็นเกมพบ "ยูงทอง" ลีดส์ ยูไนเต็ด 

2. เรือใบโหดอยู่ดีแม้จะไม่มี ฮาลันด์

สถานการณ์ของ แมนฯ ซิตี้ ตอนนี้ต้องลุ้นว่า เออร์ลิง ฮาลันด์ กองหน้าฟอร์มฮอต จะมีสภาพร่างกายฟิตทันพร้อมลงสนามตะบันตาข่าย ลิเวอร์พูล ได้หรือไม่ เนื่องจากนักเตะยังไม่ได้กลับมาซ้อมเมื่อวันพุธและวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังเจ็บโคนขาหนีบจากเกมถล่ม เบิร์นลี่ย์ 6-0 จนต้องถอนตัวจากทีมชาตินอร์เวย์ ชุดลงคัดยูโร 2024 ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ตาม

อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อว่า "เรือใบสีฟ้า" พวกเขามีขุมกำลังที่อันตรายทุกตำแหน่ง ต่อให้ ฮาลันด์ กับ ฟิล โฟเด้น ไม่ได้ลงสนาม ก็ยังมีนักเตะชั้นยอดที่สามารถทดแทนได้ เพราะแนวรุกของเจ้าบ้านโหดทุกคนไม่ว่าจะเป็น ริยาด มาห์เรซ, เควิน เดอ บรอยน์, ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ หรือ แบร์นาร์โด้ ซิลวา  เป็นต้น

นี่แค่น้ำจิ้มสำหรับขุมกำลังที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีเอาไว้ให้เลือกใช้ ด้วยเหตุนี้ คล็อปป์ แอนด์ โค. ต้องระมัดระวังผู้เล่นทุกคนของ แมนฯ ซิตี้ เพราะต่อให้แนวรุกเกิดฟอร์มฝืด พวกเขายังมีนักเตะเกมรับที่สามารถขยับขึ้นมาทำประตูได้ด้วย 

3. เอติฮัด ดินแดนอันตราย 

หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เคยบุกมาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2018 ซึ่งเป็นเกมสุดท้ายที่พวกเขาสามารถทุบ "เรือใบสีฟ้า" ดับแดดิ้นต่อหน้าแฟนบอลของพวกเขา เพราะหลังจากนั้น "หงส์แดง" ก็ยังไม่เคยได้บุกมาสยายปีกที่เอติฮัด สเตเดี้ยม อีกเลย 

สำหรับ 5 เกมพรีเมียร์ลีกหลังสุดที่ลงเล่นในสนามของแมนฯ ซิตี้ ลูกทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ สามารถเก็บได้แค่ 2 แต้มเท่านั้น ซึ่งมันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะ "เดอะ เร้ดส์" มักจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อเล่นในแอนฟิลด์

ฉะนั้นหากไม่ใช่การเล่นที่สนามเหย้าของแชมป์เก่า บอกเลยว่า ลิเวอร์พูล มีสถิติที่ดีกว่าล่าสุดในช่วงต้นซีซั่นก็คว่ำทีมของเป๊ปได้ที่แอนฟิลด์ อย่างไรก็ตามเกมนี้ต้องลงแข่งในเอติฮัด สเตเดี้ยม บอกเลยว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับบ้านแบบมีแต้มติดไม้ติดมือ 

4. สถิติที่น่าสนใจอาจเกิดขึ้น

เกมที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม มีโอกาสได้สร้างสถิติที่สวยงามสำหรับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เพราะถ้าเขาสามารถยิงประตูในเกมนี้ได้จะก้าวขึ้นมาเป็นดาวซัลโวในการเล่นนอกบ้านให้กับต้นสังกัดนับตั้งแต่ยุคพรีเมียร์ลีก โดยปัจจุบัน "บังโม" ตะบันไปแล้ว 55 ประตูเทียบเท่ากับไมเคิ่ล โอเว่น 

ขณะเดียวกับ "คิง ออฟ อียิปต์" เตรียมที่จะได้เป็นนักเตะ "หงส์แดง" คนแรกในหน้าประวัติศาสตร์ที่ยิงแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้  4 เกมในฤดูกาลเดียว ถ้าหากเขาสามารถยิงประตูได้ในแมตช์นี้ โดยก่อนหน้านี้เจ้าตัวซัดใส่ทีมของเป๊ป ในแมตช์คอมมิวนิตี้ ชิลด์, พรีเมียร์ลีก และ ลีก คัพ (คาราบาว คัพ) มาแล้ว

แน่นอนว่าแม้ ซาลาห์ อาจจะไม่ได้ฟอร์มเปรี้ยงปร้างเหมือนช่วง 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ผลงานของเขาเวลาที่พบกับ "เรือใบสีฟ้า" มักจะน่ากลัวเสมอ ด้วยเหตุนี้ สตาร์จากแดนมัมมี่ อาจจะเป็นจุดที่สร้างความแตกต่างสำหรับเกมนี้ก็ได้ 

5. ต่อชะตาลุ้นแชมป์ กับลุ้นท็อปโฟร์

สถานการณ์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะฝ่ายแรกกำลังลุ้นแชมป์ลีกอย่างเข้มข้น ขณะที่ฝ่ายหลังต้องดิ้นรนสุดขีดในการทำอันดับเพื่อติดท็อปโฟร์ จะได้โควตาไปเล่นในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า

"เรือใบสีฟ้า" มีโอกาสได้สร้างแรงกดดันใส่ อาร์เซน่อล เพราะพวกเขาลงสนามเป็นทีมแรกของโปรแกรมวันเสาร์ และถ้าหากหักปีก "หงส์แดง" ได้จะทำให้ทีมลดช่องว่างจาก "เดอะ กันเนอร์ส" เหลือ 3 คะแนน ซึ่งแน่นอนว่าทีมของมิเกล อาร์เตต้า ต้องเจอแรงกดดันจากการเล่นโปรแกรมช่วงดึก 

ขณะที่ ลิเวอร์พูล ต้องการสามคะแนนเช่นกัน เพื่อสร้างโอกาสในการลุ้นติดท็อปโฟร์ และลุ้นให้ "สาลิกาดง" นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด กับ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทำแต้มหลุดมือ เพื่อที่จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับพวกเขาเบียดแย่งโควต้าสำคัญในช่วงโค้งสุดท้าย

ทอมเม้ง


ที่มาของภาพ : gettyimages
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport