แชมป์ของ ลิเวอร์พูล ที่ได้มาอย่างยากลำบาก

แชมป์ของ ลิเวอร์พูล ที่ได้มาอย่างยากลำบาก
มันดี.. มันดีมากจริงๆ เพราะมันไม่ใช่นัดชิงธรรมดา แต่เป็นนัดชิงที่ทุกคนรู้ดีว่าเวลากำลังนับถอยหลัง

เวลาแห่งความสุข ความชื่นชม ความภาคภูมิใจ ที่เรามีต่อผู้ชายคนนี้.. กำลังนับถอยหลัง 

ความทรงจำทั้งหมดทั้งมวลระหว่างเราทั้งสองฝ่าย.. กำลังนับถอยหลัง

แน่นอน ไม่มีใครพรากความทรงจำที่แสนสุขนี้ไปจากเราได้ มันจะอยู่ในใจตลอดไป และการลาจากกันที่กำลังจะมาถึงก็ไม่ใช่การร่ำลาตลอดกาลเสียเมื่อไหร่ ในวันข้างหน้าเราก็จะยังได้พบกันใหม่ในแอนฟิลด์ ไม่ว่าจะด้วยสถานะใดก็ตาม

แต่เราก็คน.. คุณก็คน ผมก็คน.. 

เราต่างเป็นคนธรรมดาที่มีความรู้สึก มีความห่วงหาอาทร โหยหาอาลัย

แค่คิดถึงวันนั้นก็ใจหวิว ไม่อยากให้มันมาถึงเลย.. แต่ก็นั่นล่ะ เวลากำลังนับถอยหลังเข้ามาทุกทีในแต่ละอึดใจที่ผ่านไป นี่คือความเป็นจริง

แชมป์ลีก คัพ 2023/24 จึงเป็นแชมป์ที่ดี.. ดีมากจริงๆ สำหรับเดอะค็อป เพราะมันทำให้ภารกิจแรกในฤดูกาลสุดท้ายของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผ่านไปได้ด้วยความสำเร็จ

ได้เห็นรอยยิ้มของเขา ได้ยินเสียงหัวเราะของเขา ได้เห็นเขาดีใจฉลองกับทีมงานและลูกทีม คนแล้วคนเล่าที่เข้ามาสวมกอด ซึมซับแรงบันดาลใจจากเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ่ายทอดความรักศรัทธาสู่เขาให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะสัมผัสได้เช่นกัน

เดอะค็อปทุกคน.. พอจะอนุมานเอาได้ว่าทุกคน.. ล้วนรัก เจอร์เก้น คล็อปป์ การได้เห็นเขายิ้มสดใสมีความสุขกับแชมป์ที่เพิ่งได้มา ทำให้เราสุขไปด้วย นี่กระมังที่เขาเรียกว่ารักโดยปราศจากเงื่อนไข

เราเพียงอยากเห็นเขามีความสุข เท่านั้นก็พอ เราได้รับความสุขที่เขามอบให้มานานแล้ว เราจึงอยากให้เขาได้รับมันเช่นกัน

ทุกคนอยากให้ฤดูกาลนี้จบสวยที่สุด งดงามที่สุด ก็เพื่อเขา อยากจะขอบคุณเขาด้วยฤดูกาลที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นเมื่อภารกิจแรกผ่านพ้นไปด้วยดี มันจึงเป็นแชมป์ที่ดีมากจริงๆ

แต่ดูเขาสิครับ กระทั่งหัวใจเราหล่นไปที่ตาตุ่ม วิตกกังวลกับวันข้างหน้าที่จะไม่มีเขา เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ยังบอกกับนักข่าวที่ถามเขาถึงเรื่องนี้ว่า "ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้จัดการทีมกำลังจะจากไปหรอก ตราบใดก็ตามที่แฟนบอลของเรายังเป็นแบบที่พวกเขาเป็นอย่างนี้ สโมสรลิเวอร์พูลก็ยังคงสบายดี"

พูดให้เข้าใจง่ายขึ้น.. ตราบใดก็ตามที่ลิเวอร์พูลยังมีแฟนบอลอย่างพวกคุณ สโมสรจะยังสบายดี ไม่มีอะไรน่าห่วงเลย

ดูเอาเถิดครับกับความรักที่เขามีให้กับพวกเราและสโมสร นั่นคือเรื่องที่เป็นนามธรรม หากในด้านรูปธรรมก็ยังยิ่งชัดเจน ความหวังดีและมุ่งมั่นทำงานอย่างหนักของเขายังทิ้งมรดกตกทอดเอาไว้ให้คนที่จะเข้ามารับงานต่อจากเขาอย่างวางใจได้ด้วย

นักเตะดาวรุ่งจากทีมอะคาเดมี่อย่าง คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์, จาเรลล์ ควอนซาห์, บ๊อบบี้ คล้าร์ก, เจมส์ แม็คคอนเนลล์ และ เจย์เดน แดนน์ส ถูกส่งลงสนามไปฟาดฟันกับทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะคุณภาพอย่างเชลซี ในนัดชิงฟุตบอลถ้วยที่เวมบลีย์ ต่อหน้ากองเชียร์เก้าหมื่นคนในสนามและอีกหลายร้อยล้านคนทั่วโลก

เขาจะจากไปด้วยนักเตะกลุ่มนี้ที่ขัดเกลามาเป็นอย่างดีสำหรับการสานต่อ ยังไม่รวมคนอื่นๆ ในทีมที่พร้อมจะเป็นพลังปะทุให้ทีมพุ่งทะยานไปข้างหน้า ไม่ได้ทิ้งทีมที่หมดสภาพให้กับคนใหม่เพียงเพราะตัวเองจะทำงานเป็นปีสุดท้าย

กระทั่งงานในฤดูกาลสุดท้าย เขาก็ยังใส่ใจกับมัน สร้างมัน ดูแลชุบเลี้ยงมันเป็นอย่างดีทั้งที่รู้ว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่ต่อ อย่างน้อยๆ ก็จากการตัดสินใจของเขาเอง

ถ้าไม่ใช่ความรักและหวังดีที่มีให้กับสโมสรแล้วจะเป็นอะไร

ช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่านมาเราผูกพันกับเขานั่นใช่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ในทางกลับกันเขาก็ผูกพันกับ ลิเวอร์พูล ฟุตบอลคลับ และเดอะค็อปอย่างมหาศาลเช่นกัน เพราะเราผ่านน้ำตาและเสียงหัวเราะมามากมายด้วยกัน

-------------

กับเกมที่เวมบลีย์เมื่อคืนวันอาทิตย์ เป็นหนึ่งในแมตช์ที่น่าประทับใจและสนุกตื่นเต้นที่สุด

ผลเสมอ 0-0 ใน 90 นาทีไม่ได้มีความน่าเบื่อเลย ตรงข้ามทั้งลิเวอร์พูลและเชลซีต่างงัดเอาแท็กติกการเล่นที่เตรียมเอาไว้เป็นอย่างดีมาห้ำหั่นใส่กัน

ลิเวอร์พูลบีบกดดันอย่างเข้มข้น เข้าถึงบอลเร็ว ปรี่เข้าประชิดไม่ให้นักเตะสิงโตน้ำเงินครามมีเวลาคิด ทุกคนเตรียมพร้อมรอดักเก็บบอลจังหวะสอง ขณะที่เชลซีมีความรัดกุมและหาพื้นที่หลังแนวรับหงส์แดงเพื่อโจมตี การเล่นกับพื้นที่ว่างทำได้ดี และมีตัวสอดทะลุขึ้นไปจากตรงกลางที่อันตราย

กองกลางตะลุมบอนกันสนุกเร้าใจ เกมแรกของฤดูกาลที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เอนโซ่ เฟร์นานเดซ ฉายความเปล่งปลั่งอยู่คนเดียว เกมสองที่ แอนฟิลด์ สกอร์กระจุยด้วยลิเวอร์พูลท็อปฟอร์มทุกคนขณะที่เชลซีมีปัญหา

เกมสามที่ เวมบลีย์ เมื่อวันอาทิตย์ วาตารุ เอ็นโด กับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ เบียดบี้กับ เอนโซ่ และ มอยเซส ไกเซโด อย่างถึงพริกถึงขิงไม่เป็นรอง สมศักดิ์ศรีทุกกระบวน

เอ็นโดยังเป็นนักเตะที่เล่นด้วยความชาญฉลาด เขาคิดตลอดเวลาอย่างที่คล็อปป์เคยพูดถึงจริงๆ จังหวะหนึ่งในครึ่งแรกที่เขาจับบอลลั่นทะลักออกจากเท้าและต้องตามไปแก้ไข เขาไม่ได้พุ่งสไลด์ไปที่ลูกบอลเพราะรู้ดีว่าจังหวะนั้นเขาช้ากว่าฝ่ายตรงข้ามแน่ๆ แต่อ่านใจคู่แข่งว่าจะต้องรีบแปบอลออกด้านข้างจึงสไลด์แหย่เท้าไปขวางทางบอล

นี่เป็นตัวอย่างของการเล่นแบบที่สมองสั่งการและอ่านเกมคู่ต่อสู้ตลอดเวลา ทั้งยังมีความฟิตเป็นเลิศ สภาพร่างกายดีเยี่ยม ล้วนเป็นคุณสมบัติที่ทำให้ เอ็นโด ดีจนได้รับคำชม

ประตูของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่ถูก VAR ริบคืนนั้นน่าเสียดาย มันเป็นจังหวะการสกรีนตัวที่ยอดเยี่ยมของเอ็นโด เหลือบมอง ลีวาย โคลวิลล์ เล็กน้อยเพื่อกะจังหวะ แล้วเบี่ยงตัวนิดเดียวชนปราการหลังชาวอังกฤษที่จะตามไปช่วยสกัดบอล ฟาน ไดค์ จึงดวลเดี่ยวกับคนที่ตัวเล็กกว่าอย่าง เบน ชิลเวลล์ และเอาชนะได้อย่างง่ายดาย

การสกรีนให้ของเอ็นโดลูกนั้นไม่ใช่การฟาวล์ ที่ VAR ริบประตูคืนไม่ใช่เพราะการทำฟาวล์ แต่เป็นเพราะเอ็นโดอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าตอนที่ลูกฟรีคิกถูกเตะเปิดเข้ามา ซึ่งเมื่อเขาอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าก็ต้องมาพิจารณากันต่อว่าเขามีส่วนร่วมกับการเล่นไหม คำตอบก็คือการสกรีนของเขาทำให้ โคลวิลล์ หมดโอกาสไปขัดขวาง ฟาน ไดค์ จึงเป็นการมีส่วนร่วมกับการเล่น ต้องย้อนกลับมาให้เป็นลูกล้ำหน้า

จังหวะนั้นถ้า เอ็นโด ยืนอยู่ในแนวสุดท้ายแต่แรก มันจะเป็นประตูที่ยอดเยี่ยม และจะเป็นอีกครั้งที่การทำงานเป็นทีมของลิเวอร์พูลในการเล่นลูกตั้งเตะได้ผล การสกรีนคู่แข่งให้เพื่อนได้โหม่งบอลหรือเล่นบอลคือหนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพ และลิเวอร์พูลใช้ประโยชน์จากจังหวะลักษณะนี้มาหลายต่อหลายครั้ง

ผมสนุกกับการดูกองกลางปะทะกันในเกมนี้ หวาดเสียวกับการวางเกมตอบโต้ของเชลซีและช่วงที่พวกเขาทำได้ดีกว่าใน 15 นาทีสุดท้ายที่ครองเกมบดจนลิเวอร์พูลปั่นป่วน สร้างโอกาสทองงามๆ 2 ครั้งใน 2 นาทีจากการหลุดเดี่ยวของทั้ง คอเนอร์ กัลลาเกอร์ และ นิโคลัส แจ๊คสัน

ความเฉียบขาดที่หายไปคือปัญหาของเชลซีในเกมนี้ พวกเขาควรจะน็อกลิเวอร์พูลได้ในเวลาปกติไปแล้ว แต่ในอีกทางหนึ่งต้องชื่นชมความนิ่งในการป้องกันประตูของ ควีวิน เคลเลเฮอร์ และความขยันไม่ยอมแพ้ของ อิบราฮิมา โกนาเต้ ด้วย

การเปลี่ยนตัวของคล็อปป์ทุกครั้งมีเป้าหมาย ครั้งแรกสุดตอนที่ ไรอัน กราเฟนแบร์ค เจ็บตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาเลือกส่ง โจ โกเมซ ลงมาแล้วปรับตำแหน่งการเล่นใหม่แทน ให้ โกเมซ ลงมายืนแบ๊กขวา ดัน แบร๊ดลี่ย์ จากแบ๊กขวาขึ้นไปเป็นกองหน้าฝั่งขวา ถอย เอลเลียตต์ จากกองหน้าฝั่งขวาลงมายืนกองกลาง

คล็อปป์จะเปลี่ยนนักเตะตามตำแหน่งก็ได้ แต่ ณ เวลานั้นเพิ่งนาทีที่ 28 ยังเร็วเกินไปที่จะใช้กองกลางดาวรุ่งอายุยังไม่ถึง 20 อย่าง คล้าร์ก หรือ แม็คคอนเนลล์ ลงเล่น

ช่วงครึ่งหลังถึงนาทีที่ 72 คล็อปป์ก็เปลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้จำเป็นต้องถอด แบร๊ดลี่ย์ ที่แทบไม่มีอิทธิพลกับเกมรุกหลังถูกดันขึ้นไปเล่นเป็นกองหน้าตัวขวาออก ส่ง บ๊อบบี้ คล้าร์ก ลงมาเล่นกองกลางพร้อมกับดัน เอลเลียตต์ กลับขึ้นไปเล่นหน้าขวาเหมือนตอนเริ่มเกมแทน

และเมื่อถึงนาทีที่ 87 หลังจากที่เกมป้อแป้ถูกกดมาร่วมสิบนาทีและรอดพ้นจากการเสียประตูอย่างหวุดหวิด 2 ครั้งติดต่อกันในจังหวะหลุดเดี่ยวของ กัลลาเกอร์ และ แจ๊คสัน คล็อปป์ก็ใจถึงพอที่จะส่งเหล่าดาวรุ่งลงไปสมทบเพิ่มความสดของแข้งขา

เจมส์ แม็คคอนเนลล์ กองกลาง ลงไปแทน แม็ค อัลลิสเตอร์

เจย์เด้น แดนน์ส กองหน้า ลงไปแทน คักโป ผนวกด้วย ซิมิกาส แบ๊กซ้าย ไปเล่นแทน โรเบิร์ตสัน

ถอดทีมชุดใหญ่ออก ส่งเด็กเยาวชนลงแทน ในช่วงเวลาที่โมเมนตัมของเกมกำลังเอียงไปทางฝั่งเชลซีเต็มกำลัง ในเกมที่ความตึงเครียดทะลุปรอท

ไม่ใช่ความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวลูกทีมทุกคนไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่แล้วจะเป็นอะไร

นี่คือทีมของเขา ทีมของคล็อปป์ ทีมที่เขารู้จักดีที่สุด แม็ค อัลลิสเตอร์ กับ คักโป วิ่งจนหมดก๊อกไปแล้วเช่นเดียวกับ โรเบิร์ตสัน ที่เริ่มมีพื้นที่ฝั่งเขาให้เจาะมากขึ้น การเปลี่ยนตัวจึงเป็นไปเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของแข้งขาเป็นอันดับแรก นาทีนั้นเรื่องนี้ต้องมาก่อน

ลิเวอร์พูลรอดพ้นการเสียประตูอีกครั้งในช่วงทดเวลาที่เชลซีบุกขึ้นมาทางซ้ายและได้ยิง 3 ครั้งติดๆ กันที่สุดท้ายไปเข้ามือเคลเลเฮอร์ใจหายใจคว่ำ

90 นาทีจบลงที่ 0-0 ต้องต่อเวลาพิเศษ

เดอะค็อปย่อมกังวลกับ 30 นาทีที่รออยู่ เพราะรูปเกมในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกมนั้นนิ่งสนิท หลุยส์ ดิอาซ วิ่งจนหมดแรงแทบจะก้าวขาไม่ออก เอ็นโดก็กัดฟันสู้เต็มที่ แทบจะเหลือแต่พลังใจเท่านั้น

แต่ท่ามกลางความกังวลของแฟนบอลนั่นเอง ที่เด็กๆ ของทีมก้าวขึ้นมารับช่วงต่อได้อย่างน่าชื่นชม จากที่ดูตื่นๆ อยู่บ้างในตอนแรกที่ลงสนาม ทุกคนเริ่มเล่นได้นิ่งขึ้น มั่นใจขึ้น กล้าขึ้น ทำหน้าที่ตามบทบาทของตัวเองได้สมบูรณ์ดีจริงๆ

แดนน์สวิ่งไล่แดนบนเล่นเกมป้องกันตั้งแต่ด่านแรก ส่วนเกมรุกก็เป็นตัวพักบอลเชื่อมเกมหรือกระทั่งพยายามหาจังหวะจบสกอร์

แม็คคอนเนลล์ กับ คล้าร์ก ประสานงานกับ เอ็นโด ช่วยให้เกมกลางสนามหนักแน่นขึ้น ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปยิ่งเล่นเป็นธรรมชาติมากขึ้น กลับกลายเป็นควบคุมแดนกลางได้ชัดเจนกว่าคู่มิดฟิลด์ระดับโลก เอ็นโซ่-ไกเซโด้ ที่แผ่วลงไปชัดเจนหลังใช้พละกำลังอย่างหนักมาร้อยกว่านาทีเสียอีก

ตัวสำรองของเชลซีที่มีดีกรีเป็นนักเตะชุดใหญ่ก็ช่วยทีมได้จริงๆ จังๆ แค่ โนนี่ มาดูเอเก้ คนเดียว คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู ไม่สร้างอิทธิพลอะไร ส่วน มิไคโล มูดริก หายไปกับสายลมอย่างน่าผิดหวัง

ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่ดีกว่าชัดเจนในช่วงต่อเวลาพิเศษ และในที่สุดลูกเตะมุมจาก ซิมิกาส ก็หยอดมาที่จุดนัดพบอย่างแม่นยำให้ ฟาน ไดค์ โฉบมาโขกตุงตาข่ายเป็นประตูชัยให้ทีมคว้าแชมป์สมัยที่ 10

แทบไม่เปิดโอกาสให้เชลซีที่อ่อนล้าเต็มทีได้แก้ตัวเลย พลังฮึดของลิเวอร์พูลหลังประตูของ ฟาน ไดค์ จัดการจบโอกาสคัมแบ๊กของเชลซีอย่างหมดจด และสมบูรณ์แบบ

แชมป์ตกเป็นของลิเวอร์พูล เป็นของทีมแห่ง เจอร์เก้น คล็อปป์..

แชมป์แรก.. ในฤดูกาลสุดท้ายของเขา

1 down.. 3 to go

--------------

ผมนั่งดูบรรยากาศแห่งความชื่นมื่นหลังจบเกมด้วยความสุขที่สุด สัมผัสได้ถึงความรักที่พุ่งเข้าใส่ เจอร์เก้น คล็อปป์

ทุกคนรุมกอดเขา สวมกอดเขา นักเตะบนม้านั่งข้างสนามทั้งที่ได้เล่นและไม่ได้ลงเล่นคล้ายจะมีเขาเป็นเป้าหมายให้ปรี่เข้าไปกอดก่อนเป็นคนแรก จากนั้นจึงค่อยวิ่งเข้าไปฉลองกับเพื่อนๆ

คล็อปป์เดินนำลูกทีมขึ้นไปบนอัฒจันทร์ และ ฟาน ไดค์ ก็ดึงเขาให้อยู่ในเฟรมในวินาทีชูถ้วยแชมป์ใบนี้ด้วยกัน

ลีก คัพ 2023/24 แชมป์นี้ช่างมีความหมายและล้ำค่า ยิ่งเมื่อมันเป็นฤดูกาลสุดท้ายของคล็อปป์ด้วยมันก็ยิ่งล้ำค่าเป็นทวีคูณสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับลิเวอร์พูล

แชมป์ที่ได้มาอย่างยากลำบาก ต้องสู้สุดใจบดบี้กันยาวนาน 120 นาทีกว่าจะเข่นคู่ชิงที่เก่งกาจลงได้ จึงเป็นแชมป์ที่รู้สึกคุ้มค่ากับความเหนื่อยยาก ผลลัพธ์ที่เป็นโทรฟี่ทำให้หายเหนื่อยและมีกำลังใจอย่างที่สุด

มันคือก้าวเดินที่สำคัญสำหรับช่วงเวลาที่เหลืออยู่ คล้ายเป็นจุดแวะพักเติมพลัง มองไปถึงเกมเอฟเอ คัพ ที่รออยู่กลางสัปดาห์อย่างมีเรี่ยวแรงอีกครั้ง แม้สภาพความพร้อมจะยังต้องแก้ไขกันหน้างานแต่กำลังใจเปี่ยมล้น 

เสียงเพลง You'll never walk alone ที่ดังกระหึ่มเวมบลีย์ คล็อปป์และทีมงานของเขากอดคอกันเรียงหน้ากระดาน ร่วมตะโกนร้องมันไปด้วยกันกับเดอะค็อป

ในบรรยากาศแห่งความเป็นหนึ่งเดียวที่อยู่ตรงหน้า ทางหนึ่งก็ดีใจ แต่อีกทางหนึ่งกลับใจหาย..

รอยยิ้มกว้างนั้นของคล็อปป์ เสียงหัวเราะของเขา อ้อมกอดของเขา การฉลองร่วมกับแฟนบอลของเขา เราจะได้เห็นกันอีกกี่ครั้งกันนะ

แต่ในทางกลับกัน เสียงเชียร์นั้น กำลังใจนั้น ความทรงพลังนั้น ความคลั่งไคล้ทุ่มเทนั้น ความมีชีวิตชีวาและสีสันแห่งการดำรงอยู่นั้น

ธงทิวและแผ่นผ้าเหล่านั้น..

ตัวของคล็อปป์เองที่ยืนอยู่ในสนาม มองดูมันเต็มสองตา จะมีความรู้สึกอะไรซ่อนอยู่ในใจของเขาเช่นกันไหม..

เราจะได้เห็นการเชียร์และพลังใจอันยิ่งใหญ่จากพวกเขาเหล่านี้อีกกี่ครั้งกันนะ

นับถอยหลัง..

คงไม่เพียงแต่เราแฟนบอลเท่านั้นหรอกที่บอกกับตัวเองว่า วันเวลาแห่งความปรีดีเหล่านี้กำลังจะเดินไปถึงจุดสิ้นสุด วันสุดท้ายกำลังคืบคลานเข้ามา

คงไม่ได้มีเพียงพวกเราเท่านั้นกระมังที่ใจหาย..

คงไม่ได้มีเพียงพวกเราแฟนบอล เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็คงรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport