อุทธรณ์ไม่ผ่าน!ยูฟ่าแบน โอซาซูน่า เตะถ้วยคอนเฟอเรนซ์ลีก

โอซาซูน่า ทีมอันดับเจ็ดของ ลา ลีกา ถูกสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ตัดสิทธิ์ออกจากการลงเล่นถ้วย ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก รอบเพลย์ออฟเนื่องจากอุทธรณ์โทษไม่สำเร็จจากที่เคยมีคดีล็อคผลบอลเมื่อทศวรรษก่อน

ยูฟ่า แถลงเมื่อวันอังคารที่ 4 ก.ค.ว่าทีมของกุนซือ โฆโกบา เอลุสตอนโด้ ถูกเขี่ยออกจากการฟาดแข้งฟุตบอลสโมสรยุโรปรายการที่เล็กที่สุดของ ยูฟ่า เนื่องจากพวกเขาเคยมีมลทินการล็อคผลบอลระหว่างปี 2012-2014

"คณะกรรมการรับเรื่องอุทธรณ์ของยูฟ่าตัดสินใจในวันนี้ว่า โอซาซูน่า ถูกขับออกจากการฟาดแข้งถ้วย คอนเฟอเรนซ์ ลีก ซีซั่น 2023/24" องค์กรลูกหนังยุโรปแถลง

"สมาชิกคณะกรรมการรับเรื่องอุทธรณ์ของยูฟ่าขอยืนยันความคิดเห็นเดิมจากที่คณะกรรมการด้านวินัยของยูฟ่าสอบสวน ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการรับเรื่องอุทธรณ์จึงตัดสินใจขับ โอซาซูน่า ออกจากการแข่งขัน"

ต่อกรณีดังกล่าว แม้เจ้าหน้าที่ของ โอซาซูน่า ซึ่งถูกระบุว่ามีส่วนล็อคผลบอลจะพ้นไปจากสโมสรทั้งหมดแล้วก็ตาม แต่จากการไต่สวนช่วงต้นปี 2020 ผู้บริหารหลายรายถูกระบุว่ามีความผิด

ขณะเดียวกัน กฏของ ยูฟ่า กำหนดเอาไว้ว่าหากสโมสรไหนถูกระบุว่าล็อคผลบอลในรายการไหนก็ตามนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2007 พวกเขาก็จะถูกขับออกจากการลงเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปหากสามารถคว้าสิทธิ์ได้

อย่างไรก็ดี หลังอุทธรณ์บทลงโทษกับ ยูฟ่า ล้มเหลว โอซาซูน่า ยังมีโอกาสยื่นเรื่องไปถึงศาลกีฬาโลกเป็นลำดับถัดไปได้ซึ่งพวกเขายืนยันแล้วว่าพร้อมใช้ช่องทางนี้เพื่อลงเล่นรายการดังกล่าวซึ่ง ยูฟ่า เลื่อนให้ แอธเลติก บิลเบา ทีมอันดับ 8 ของ ลา ลีกา ได้ฟาดแข้งแทน

ด้วยเหตุนี้ ศาลกีฬาโลก จึงน่าจะมีคำตัดสินออกมาก่อนวันที่ 24 ส.ค. ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นวันฟาดแข้งศึก คอนเฟอเรนซ์ ลีก รอบเพลย์ออฟนัดแรก

นอกจาก โอซาซูน่า แล้ว ยูเวนตุส กับ แอสตัน วิลล่า ทีมอันดับ 7 ของ เซเรียอา และ พรีเมียร์ลีก ซึ่งได้สิทธิ์เตะรอบเพลย์ออฟถ้วยใบนี้กำลังถูก ยูฟ่า สอบสวนเช่นกันหลังจากรายแรกถูกหักคะแนน 10 แต้มโทษฐานปลอมแปลงบัญชีการซื้อขายนักเตะสูงเกินจริง ขณะที่รายหลังมีเจ้าของสโมสรเป็นชาวอเมริกันซึ่งมีหุ้นอยู่ในทีม วิตอเรีย ของลีกโปรตุเกส ซึ่งได้สิทธิ์ฟาดแข้งฟุตบอลรายการดังกล่าวด้วยเนื่องจากตามกฏของ ยูฟ่า ไม่อนุญาตให้สองสโมสรที่มีเจ้าของรายเดียวกันลงเล่นฟุตบอลยุโรปพร้อมกันเนื่องจากอาจโคจรมาบู๊กันเองได้ไม่รอบใดรอบหนึ่งหรือว่ารายการใดรายการหนึ่ง


ที่มาของภาพ : gettyimages,
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport