เมืองทอง : กิเลนผยองและความสยองของแนวรุก

เมืองทอง ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมที่มีสถิติในเลกที่สองของ ไทยลีก 2023-24 เป็นรองเพียง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ แบงค็อก ยูไนเต็ด เท่านั้น โดยเฉพาะ 5 แมตช์หลังสุดที่เก็บชัยชนะรวดเดียวจนขยับอันดับมาอยู่ที่ 5 ในตารางการแข่งขัน

  จากที่เลกแรก พวกเขาอยู่อันดับ 10 แถมมีแต้มเหนือโซนตกชั้นไม่กี่คะแนน แต่ฟอร์มอันแรงร้อนในระยะหลังส่งผลให้กิเลนผยองกลายเป็นเสือร้ายที่ทุกทีมต้องหวาดหวั่น

   แน่นอนว่าการเสริมทัพแบบ 'เกาถูกที่คัน' กับการได้ อี แช-ซอง และ สถาพร แดงสี มาขันน๊อตเกมรับทำให้แผงหลังของ เมืองทอง ดูดีขึ้นผิดหูผิดตาไปจากเลกแรก

   หากยังจำกันได้ ช่วงต้นซีซั่น พวกเขาเปิดฉากด้วยการใช้เด็กสร้างอย่าง ธีรภัทร เลาหบุตร ซึ่งไม่เคยผ่านเกมในลีกสูงสุดมายืนเป็นแบ็กซ้ายจำเป็น ทั้งๆ ที่ตำแหน่งถนัดคือเซนเตอร์ฮาล์ฟ 

   นอกจากนี้ในบางเกม กิเลนผยองก็ต้องใช้คู่ปราการหลังไทย แท้ๆ เนื่องจาก ฌอง-โคล้ด-บีลลง โควตาแข้งต่างชาตินั้นบาดเจ็บ ซึ่งผลที่ออกมาก็อย่างที่ทราบกันว่าฟอร์มของพวกเขาลุ่มๆ ดอนๆ จนอันดับร่วงไปอยู่โซนสีแดงอยู่พักหนึ่ง

   กระทั่งได้ อี แช-ซอง มายืนเซนเตอร์ฮาล์ฟ โดยที่แบ็กซ้ายเป็น สถาพร นั่นแหละ อะไรต่อมิอะไรก็ค่อยๆ เป็นไปในทิศทางที่ดี พ่วงกับการได้ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ กลับมาเฝ้าเสาอีกครั้ง มันจึงทำให้แนวรับของทีมมี 'ความนิ่ง' มากยิ่งขึ้น

   พอหลังบ้านแข็งแรง ทีนี้แดนบนก็สนุกสนาน เพราะไม่ต้องพะวงใจว่าจะเสียประตูเมื่อไหร่ 

   แม้จะเสีย วีระเทพ ป้อมพันธุ์ กองกลางคนสำคัญไปให้ แบงค็อก ยูไนเต็ด แต่ดูเหมือนว่าเกมในแผงมิดฟิลด์ของ เมืองทอง ยังคงไหลลื่นเช่นเดิม เผลอๆ จะดูไวกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะสถิติการยิงประตูที่สูงกว่าเลกแรกแบบชัดเจน

   15 เกมแรกของกิเลนผยองยิงได้ 21 ประตู แต่นับถึงปัจจุบัน ณ แมตช์เดย์ ที่ 23 หรือ 8 นัดในเลกที่สอง พวกเขายิงไปอีก 24 ประตู ถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นแทบจะเท่าตัว

   วิลเลียน พ็อพพ์, ปรเมศย์ อาจวิไล, สเตฟาน เชโปวิช และ เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ คือ 4 แนวรุกที่ซัดรวมกันไป 36 ประตู ถือว่าเกินกว่าครึ่งหนึ่งที่กิเลนผยองทำได้ในซีซั่น 2023-24 ซึ่งนั่นบ่งบอกถึงความเฉียบขาดในพื้นที่สุดท้ายได้เป็นอย่างดี

   โดยเฉพาะในรายของ ปรเมศย์ ที่กดไป 9 ประตู กับอีก 8 แอสซิสต์ ยกระดับตนเองสู่การเป็นหัวหอกแนวหน้าของเมืองไทย ได้อย่างเต็มตัว

   นับวัน ศูนย์หน้าวัย 25 ปี คนนี้ยิ่งจะมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ พักบอลได้ เก็บบอลดี มีความแข็งแรง แถมสกิลลูกหนังก็ไม่ธรรมดา สามารถลากตะลุยผ่านแนวรับได้ด้วยตัวคนเดียวหรือจะทำชิ่งกับเพื่อนก็อันตราย

   ส่วนริมเส้น พ็อพพ์ ก็ค่อยๆ กลับสู่มาตรฐานเดิม คือเสียบอลยากและจมูกไวในกรอบเขตโทษ คือมักจะไปอยู่ถูกที่ถูกเวลาอยู่เสมอ แค่เลกที่สองเลกเดียว พี่แกซัดไปแล้ว 9 ประตู เป็นตัวเลขรองจาก กีเญร์เม่ บิสโซลี่ ดาวยิงป้ายแดงของ บุรีรัมย์ ที่สับไกไป 10 ลูก เท่านั้น

   อีกฟากหนึ่ง เจริญศักดิ์ ก็พัฒนาตนเองจนยึดตำแหน่งตัวจริงทีมชาติไทย ได้ในยุค มาซาทาดะ อิชิอิ และมันก็มาจากผลงานกับ เมืองทอง ที่ต่อเนื่องในทุกสัปดาห์ ยิงก็ได้ จ่ายก็ดี จนกลายเป็นอาวุธเด็ดที่กิเลนผยองเอาไว้น็อกคู่ต่อสู้

   นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือการกลับมาลงสนามของ ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ที่อาจจะไม่หวือหวานัก แต่หมอนี่คือฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้แดนกลางของทีมไหลลื่นกว่าเลกแรกแบบชัดเจน 

   เมื่อใดที่บอลอยู่ในเท้าของอดีตนักเตะ เลสเตอร์ ซิตี้ แทบไม่มีเสียเลย แถมยังครองบอลไม่เกิน 3 วินาที ก็ปล่อยออกไปให้เพื่อนเล่น ส่วนตนเองก็เคลื่อนตัวไปอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ ซึ่งทำให้คนอื่นๆ ได้ขยับไปด้วย

    ธนวัฒน์ คือจุดประกายเล็กๆ แต่มันสะท้อนไปทุกตำแหน่งในสนาม

   24 ประตู คือจำนวนที่ เมืองทอง ยิงได้ในเลกที่สอง เท่ากับ บุรีรัมย์ จ่าฝูงของตารางการแข่งขัน 

   การที่เกมรุกกิเลนผยองร้อนแรงขนาดนี้ คงต้องให้เครดิตกับ มิลอส ย็อคซิช และ อุทัย บุญเหมาะ ที่ปรุงแต่งได้อย่างลงตัวจนทีมแทบจะเป็นคนละเรื่องเดียวกับเลกแรกเลย

   ปัจจุบันพวกเขาอาจจะรั้งอันดับ 5 แต่เชื่อเถอะว่าถ้ามาตรฐานยังสูงลิ่วขนาดนี้ มีโอกาสไม่น้อยเลยที่จะทะลุถึงที่ 4 หรือดีไม่ดีอาจจะจบที่ 3 เลยก็เป็นได้ 

   กิเลนผยองและความสยองของแนวรุก

ชิกกะด้าว


ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport