อุ้ม-ธีราทร แมตช์ วินเนอร์ ของจริง !!

ในที่สุด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็หยุดสถิติไม่ชนะใครในทุกรายการไว้ที่ 5 นัดเท่านั้น และมันยังคงเป็นตัวเลขที่ยังไม่ถูกต่อยอดสู่เกมที่ 6 ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับปราสาทสายฟ้าที่จะได้กลับสู่ฟอร์มเก่งอีกครั้ง

   ก่อนหน้าที่จะพบ การท่าเรือ เอฟซี บนถ้วย ช้าง เอฟเอ คัพ 2023-24 พวกเขาแพ้ต่อ ว็องต์โฟเร่ต์ โกฟุ และ เมลเบิร์น ซิตี้ ในศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมไปถึงเสมอรวด 3 นัด กับ ชลบุรี เอฟซี, เชียงราย ยูไนเต็ด ตามด้วย บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เป็นทีมล่าสุด

   เท่ากับว่าแชมป์ ไทยลีก 8 สมัย ไม่ชนะใครเลย 5 นัดติดต่อกัน และมีโอกาสจะขยายสู่เกมที่ 6 หากไม่สามารถคว้าชัยจากสิงห์เจ้าท่าได้สำเร็จ

   'ความกดดัน' ถูกถาโถมเข้าใส่นักเตะและ อาร์เธอร์ ปาปาส ผู้เป็นกุนซือแบบไม่อาจหลีกเลี่ยง

   ดังนั้นเกมกับ การท่าเรือ จึงเป็นแมตช์สุดสำคัญสำหรับ บุรีรัมย์ จริงๆ เพราะถ้ายังฟอร์มฝืดอยู่ มันอาจกระทบต่ออีกหลายชิ่ง 

   ว่าแล้วพวกเขาจึงเน้นหนักเป็นพิเศษในการเผชิญหน้ายอดทีมจากย่านคลองเตยที่ฤดูกาลนี้ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการนำเป็นจ่าฝูงของ ไทยลีก

   ด้วยความที่อาคันตุกะจากพระนครนั้นมีทีเด็ดที่ศูนย์หน้าอย่าง บาร์รอส ทาร์เดลี่ กับ แฮมิลตอน โซอาเรส ซึ่งเล่นได้ดีทั้งภาคพื้นและกลางอากาศ 

   ปาปาส จึงจัดกองหลังที่มีสัดส่วนสูงใหญ่ไว้จัดการ นำโดย คิม มิน- ฮย็อก, พรรษา เหมวิบูลย์, ดิออน คูลส์ และ ชิติพัทธ์ เเทนกลาง มาคอยป้องกันการโจมตีที่อันตรายของทีมเยือน 

   ทั้งนี้ คูลส์ นั้นออกสตาร์ตด้วยการเล่นเป็นวิงแบ็กฝั่งขวา ก่อนที่จะขยับเข้ามาเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟในครึ่งหลัง

   นอกจากนี้ ฮาริส วุชคิช แนวรุกที่สูง 1.91 เมตร ก็ถูกใส่ชื่ออยู่ใน 11 ตัวจริง ซึ่งก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการรับมือกับลูกกลางอากาศที่ การท่าเรือ มักจะใช้สยบคู่แข่ง

   ส่วนแดนกลาง โกรัน เคาซิช, พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี และ ธีราทร บุญมาทัน คอยขับเคลื่อนเกม

   แท็กติกที่เฮดโค้ชชาวออสเตรเลีย นำมาใช้ถือว่าได้ผลดีชะงัด เพราะทางสิงห์เจ้าท่าแทบจะไม่ได้ใช้จุดเด่นของพวกเขาเลย แม้จะมีจังหวะสวนกลับที่ ทาร์เดลี่ มีโอกาสหลุดไปยิง แต่ก็ยังไม่ผ่านมือ ศิวรักษ์  เทศสูงเนิน ที่ยังไว้ใจได้เสมอ

   รูปเกม บุรีรัมย์ อาจจะดูดีกว่า แต่ก็ยังหาช่องส่องทีมเยือนไม่ถนัด มันจึงชวนให้อึดอัดอยู่พอสมควร กระทั่งการได้ประตู 1-0 จาก เคาซิช ในช่วงทดเวลาการแข่งขันในครึ่งแรก ถือเป็น 'จุดพลิกผัน' ของเกมอย่างแท้จริง

   มันคือสกอร์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ และพอขึ้นนำก่อนจบครึ่งแรก - ครึ่งหลัง ปราสาทสายฟ้าจึงเล่นได้ง่ายกว่า เนื่องจาก การท่าเรือ ต้องเป็นฝ่ายเปิดหน้าเข้าใส่บ้าง

   แล้วก็เป็นไปตามคาด สิงห์เจ้าท่าต้องพยายามทวงคืน แต่ก็ยากยิ่งที่จะผ่านกำแพงเกมรับอันแข็งแกร่งของเจ้าถิ่นไปได้ 

   อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณภาพที่ใกล้เคียงกัน การท่าเรือ จึงมาตีเสมอได้สำเร็จ 1-1 จาก บดินทร์ ผาลา

   เหมือนว่าโมเมนตั้มจะเหวี่ยงมาทางทีมเยือนอีกครั้ง เพราะเจ้าถิ่นที่อาจจะคอนโทรลเกมได้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีจังหวะจะแจ้งในการเข้าทำ ผิดกับสิงห์เจ้าท่าที่โอกาสไม่มากนัก ทว่าโจมตีได้น้ำได้เนื้อมากกว่า

   ในรูปเกมที่ต่างฝ่ายต่างก็ทันกันเช่นนี้ มักจะมีนักเตะอยู่คนหนึ่งที่เป็นตัวชี้ชะตาตัดสินผลการแข่งขัน และคนๆ นั้นก็คือ ธีราทร นี่แหละที่สร้างความเจ็บช้ำให้ การท่าเรือ 

   แม้จะไม่ได้เป็นผู้ทำประตู 2-1 แต่การชิพบอลตัดแนวรับอาคันตุกะ ก่อนบอลไปหล่นข้างหน้า ลอนซาน่า ดูมบูญ่า อย่างแม่นยำ - ศูนย์หน้าทีมชาติกินี ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่ตวัดยิงไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น

   มันคือ 'คิลเลอร์พาส' ที่ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้

   ส่วนหนึ่งต้องตำหนิฝั่ง การท่าเรือ เช่นกัน ที่เสียสมาธิในการประกบตัว ธีราทร ทั้งๆ ที่รู้ว่าคลาสบอลของอดีตแชมป์ เจลีก 2019 นั้นร้ายกาจเพียงใด การจ่ายเพียงครั้งเดียวสามารถพลิกเกมได้ในพริบตา

   ความผิดพลาดของเกมรับในนาทีที่ 67 ทำให้ บุรีรัมย์ ได้ประตู 2-1 ก่อนจะรักษาสกอร์ไปจน 90 นาที ผ่านเข้าสู่รอบ 32 ทีม ได้ตามเป้าหมาย

   ธีราทร แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าตนเองคือนักเตะที่อันตรายมากๆ หากปล่อยให้บอลอยู่กับเท้าและมีเวลาคิด เพราะเพียงแว็บเดียว เขาสามารถทำให้ทีมของตนเองได้เปรียบทันที

   ในวัย 33 ปี อาจจะเป็นช่วงปลายของอาชีพนักฟุตบอล แต่ถ้าแข้งชาวนนทบุรี ยังรักษาสภาพร่างกายได้อย่างนี้ รับประกันเลยว่าเขาจะยืนหยัดไปอีกยาว

   ห้วงเวลาที่ตีบตัน - ธีราทร คือผู้เล่นประเภท แมตช์ วินเนอร์ ของจริง

ชิกกะด้าว


ที่มาของภาพ : ภาพข่าวจาก Facebook BURIRAM UNITED
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport