ภาพหนึ่งซ้อนทับอยู่ในเอเชียน คัพ

ฟุตบอลชิงแชมป์ทวีปแบบเอเชียน คัพ นั้นมีภาพอีกภาพหนึ่งซ้อนทับอยู่

แน่นอนว่าภาพใหญ่คือการเชียร์ทีมชาติของตัวเอง คนไทยเชียร์ทีมชาติไทย คนอิหร่านเชียร์ทีมชาติอิหร่าน คนเกาหลีใต้ก็เชียร์ทีมชาติเกาหลีใต้

แต่ในภาพที่ซ้อนทับอยู่ยังเป็นเรื่องของภูมิภาค

เอเชียตะวันออกนำโดย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ จีน

ตะวันออกกลางที่มีทีมเก่งๆ มากมาย ซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน อิรัก กาตาร์ ยูเออี โอมาน เลบานอน ฯลฯ

เอเชียกลางก็มี อุซเบกิสถาน นำทัพ ร่วมด้วย ทาจิกิสถาน คีร์กีซสถาน และบรรดาประเทศอดีตสหภาพโซเวียตทั้งหลาย

เอเชียใต้มี อินเดีย เป็นหัวหอกอยู่แทบจะทีมเดียวเสมอมา บังคลาเทศบ้างบางครั้ง

ออสเตรเลียมาแบบโดดๆ จากโอเชียเนียด้วยมาตรฐานที่สูงอยู่แล้ว

และในภูมิภาคอาเซียน เวียดนาม ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เมียนมาร์ ฯลฯ

ในเอเชียน คัพ ครั้งนี้ ตัวแทนจากย่านอาเซียนของเรามี 4 ชาติ

เวียดนาม ไทย อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย

ในเชิงศักดิ์ศรีของความเป็นทีมบ้านใกล้เรือนเคียงนั้น เราแข่งกัน แย่งชิงกัน เปรียบเทียบกัน ด้วยความเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่า เราต่างก็เป็นเบอร์หนึ่งแห่งย่านนี้

หากในแง่ของโลกกว้าง เราจะพบว่าพวกเราเหมือนแข่งกันเอง อวดกันเอง ภาคภูมิใจกันเอง แชมป์ซีเกมส์มีความหมายอะไรบ้างในสายตาของอิหร่านหรือเกาหลีใต้ แชมป์อาเซียน คัพ สร้างความวิตกกังวลอะไรไหมให้กับญี่ปุ่นหรือซาอุดีอาระเบีย

ถามเองก็ตอบเอง.. ไม่มีเลย เพื่อนร่วมทวีปของเราไม่มองพวกเราอยู่ในสายตาด้วยซ้ำเรื่องการแย่งโควต้าไปเล่นทัวร์นาเม้นต์ระดับโลกในทุกรุ่นอายุ

น่าเจ็บปวดแล้วก็น่าโมโห.. แต่มันก็คือความจริง

ในเอเชียน คัพ ทุกๆ ครั้งผมจะเอาใจช่วยตัวแทนจากอาเซียนทุกทีมไม่ว่าจะเป็นใคร เวียดนามอาจจะเป็นคู่ปรับของเราในเวทีระดับภูมิภาค บลัฟกัน ด่ากัน ทะเลาะกันในหมู่พวกเราแฟนบอล แต่การเฝ้าดูพวกเขาเตะกับทีมจากตะวันออกกลางหรือเอเชียตะวันออกก็ให้ความรู้สึกคล้ายกับเชียร์เพื่อนขึ้นต่อยกับรุ่นพี่ในกีฬาสีอยู่เหมือนกัน

มันคล้ายกับวัดความสามารถของเราเองไปในตัวด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้ลงไปเล่นเอง

ฟุตบอลย่านไหนก็มักจะมีความรู้สึกเป็นกลุ่มก้อนของย่านนั้น มีความรู้สึกว่ามันใกล้เคียงกัน ด้วยสไตล์ ด้วยธรรมชาติ ด้วยสรีระ ด้วยดีเอ็นเอบางอย่าง

ไม่อย่างนั้นทำไมแต่ละชาติถึงเลือกเตะอุ่นเครื่องกับทีมที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกับคู่ต่อสู้ที่จะเจอในรอบแรก ไม่ใช่เฉพาะทัวร์นาเม้นต์นี้แต่เป็นทุกทัวร์นาเม้นต์ทั่วโลก ถ้าอยู่กลุ่มเดียวกับบราซิลก็อาจนัดเตะกับอุรุกวัย อยู่กลุ่มเดียวกับสวีเดนก็นัดเตะกับนอร์เวย์ อยู่กลุ่มเดียวกับไนจีเรียก็นัดเตะกับไอวอรี่โคสต์

มันไม่ใช่ทั้งหมด แต่พอจะแทนๆ กันได้

ดูเวียดนามเล่น ดูมาเลเซีย ดูอินโดนีเซีย เล่น เราได้เห็นฟุตบอลของย่านนี้ เป็นการมองเห็นตัวเองในอีกภาพหนึ่งที่ทาบทับฟุตบอลแท้ๆ ของเรา

ได้เชียร์ และได้แข่งขันกันไปในตัวว่าแต่ละทีมจากย่านอาเซียนมีพัฒนาการก้าวหน้า ถอยหลัง หรือหยุดนิ่งอยู่กับที่อย่างไร ในมุมที่ดีมันคอยกระตุ้นซึ่งกันและกัน

เมื่อวานนี้ผมได้ทึ่งไปกับการเล่นของเวียดนาม ยอมรับว่าประทับใจผลงานของนักเตะสกุลเหงียนที่สุด

เตะกับญี่ปุ่นจนถึงนาที 85 ยังมีลุ้นในระดับตีเสมอเพราะตามหลังเพียง 2-3 ไม่ได้ถูกทิ้งห่างจนหมดลุ้น

ลองดูผลงานของทีมชาติญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ก็ได้ครับ หนีไทย 2 ประตูได้ในนาทีที่ 72 ก่อนชนะ 5-0.. หนีซีเรีย 2 ประตูตั้งแต่นาทีที่ 37 ก่อนถล่ม 5-0.. ทิ้งเมียนมาร์ 2 ประตูตั้งแต่นาทีที่ 28 ก่อนยำใหญ่ 5-0

ทิ้งตูนิเซีย 2-0 นาทีที่ 69.. ทิ้งแคนาดา 2-0 ตั้งแต่นาทีที่ 29 (นำ 4-0 ในนาทีที่ 49 ก่อนชนะ 4-1).. ทิ้งตุรกี 2-0 ในนาทีที่ 28 (หนี 3-0 นาที 36 ก่อนปิดที่ 4-2)

37 นาทีหนีเปรู 2-0 เล่นไปถึงนาที 75 ก็นำไกล 4-0 จบที่ 4-1 หรือเกมที่อุ่นเครื่องกับ เอล ซัลวาดอร์ เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้วซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการรันยาวชนะ 11 เกมติดในตอนนี้เตะกันไปแค่ครึ่งแรกก็นำหายห่วง 4-0 ก่อนไปสรุปกันที่การไล่ยำครึ่งโหล 6-0

มีเพียง เยอรมัน ทีมเดียวในระหว่างนี้ที่ไม่โดนญี่ปุ่นหนี 2-0 ลีรอย ซาเน่ ตีเสมอเป็น 1-1 ได้ที่โวล์ฟสบวร์ก แต่สุดท้ายก็โดนถลุงหมดสภาพแชมป์โลก 4 สมัยอยู่ดี สกอร์ 1-4 รุนแรงถึงขั้นทำให้ ฮันซี่ ฟลิค ถูกไล่ออกจากตำแหน่งบุนเดสเทรนเนอร์

ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมถึงรูปเกมที่ ญี่ปุ่น ทำได้ดีเหลือเชื่อ คุมเกม ต่อบอล บีบแย่งบอล บดขยี้ด้วยการบุกใส่เป็นชุดๆ ด้วยความเร็ว ความแม่น และหลากหลาย เป็นฟุตบอลที่เหนือไปอีกระดับจนน่าขนลุก

แต่เกมเมื่อวานนี้ไม่เพียงการรักษาระยะห่างของสกอร์ที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเท่านั้น เวียดนามยังมีความน่าประทับใจมากมายตลอดเวลา 90 นาทีที่ต่อกรกับญี่ปุ่นในสนาม

สิ่งที่ผมมองเห็นในทีมเวียดนามคือความกล้า ความไม่กลัว ความไม่ยั่นต่อความเก่งกาจของญี่ปุ่น

การแสดงออกของพวกเขาชัดเจน กล้าต่อบอลเข้าสู้ กล้าวิ่งเข้าใส่ กล้าที่จะเอาชนะนักเตะญี่ปุ่นไม่ว่าจะตอนตั้งรับหรือทำเกมรุก ไม่มีปอด ไม่มีหวั่น ไม่มีกลัว

ฟิลิปป์ ทรุสซิเย่ร์ กุนซือของเวียดนามให้สัมภาษณ์หลังจบเกมว่าสิ่งที่เขาพอใจที่สุดคือการที่ลูกทีมเล่นได้ตามที่พูดคุยกันไว้

ผมเห็นด้วย.. เวียดนามทำมันให้เห็นชัดเจนมาก มั่นใจเลยว่าเกมแพลนหรือแผนการเล่นที่ทรุสซิเย่ร์วางเอาไว้เป็นอย่างที่เห็นใน 90 นาทีของเกมเลย

การเจอกับทีมระดับญี่ปุ่น ณ เวลานี้ ถ้าคุณสติหลุด สติแตก ใจไม่นิ่ง ลังเล กังวล ไม่กล้า ยำเกรงศักดิ์ศรี คุณโดนพวกเขาไล่ขยี้ยับเยินร้อยเปอร์เซนต์

การคุย "team talk" ก่อนเตะ ผู้จัดการทีมจะบอกสิ่งที่เขาต้องการในเกมนั้นๆ ทีมวางเป้าหมายไว้อย่างไร จะเล่นอย่างไร ต้องระวังตรงไหน ต้องเน้นตรงไหน กำชับย้ำกันอีกครั้งว่าเขาอยากเห็นอะไรจากพวกคุณ เป็นการทำความเข้าใจขั้นสุดท้ายก่อนปล่อยลงสนาม

เมื่อลงสนามไปเรียบร้อยคนเป็นโค้ชก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของนักฟุตบอลที่ต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่ง โค้ชทำได้เพียงลุ้นให้ลูกทีมเล่นได้ตามที่กำชับกันไว้ บางครั้งเป้าหมายไม่ใช่ชัยชนะด้วยซ้ำด้วยรู้ว่าด้วยมาตรฐานแล้วยังทำไม่ได้หรอกในตอนนั้น

ที่บรีฟๆ กันมาเป็นอย่างดีแล้วมาพังพินาศในสนามก็มีเยอะ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ตามที่ซ้อมกันมา บางคนรับความกดดันไม่ไหว บางคนทำผิดพลาดในวินาทีบีบคั้น บางคนสติหลุดลืมหมดที่เน้นย้ำกันไว้ ด้วยคุณภาพของฝีเท้าและสภาวะจิตใจที่อ่อนแอกว่า

แต่ผมไม่เห็นจริงๆ กับนักเตะเวียดนามเมื่อวานนี้ ทั้งตัวจริงทั้งตัวสำรอง ทั้งครึ่งแรก และครึ่งหลัง ไม่มีลนลาน เตะทิ้งโฉ่งฉ่าง หรือสติหลุดเล่นนอกเกมจนส่งผลเสีย

นิ่งและใจถึงจนอยากยกนิ้วให้ เหมือนคู่แข่งของพวกเขาไม่ใช่ญี่ปุ่นแต่เป็นทีมระดับใกล้เคียงกันในอาเซียนยังไงยังงั้นเพราะมองไม่เห็นความกลัวหรือกังวลเลยสักนิด

อดรู้สึกตื่นเต้นไปกับฟุตบอลเวียดนามไม่ได้เหมือนกันครับ จากยุค ปาร์ค ฮัง ซอ มาถึง ทรุสซิเย่ร์ คล้ายกับพวกเขาต่อยอดด้วยแนวทางที่ถูกต้อง มองเห็นอนาคตชัดเจน ขนาดเจอญี่ปุ่นยังสู้ด้วยหัวจิตหัวใจที่มั่นคงอย่างนี้ เวทีนี้เวียดนามไม่จำเป็นต้องกลัวใครอีก วัดกันที่คุณภาพในสนามล้วนๆ ถ้าแพ้ก็คือจากมาตรฐานฟุตบอลที่ยังสู้ไม่ได้ ไม่ใช่จากความกลัวจนเล่นไม่เป็นตัวเอง 

ผมคิดว่าในจำนวนทีมที่เจอญี่ปุ่นถล่มมาทั้ง 11 ทีม เวียดนามน่าจะเป็นทีมที่ได้กำไรที่สุด

อย่างแรกเลยคือมันเป็นเกมที่มีความหมาย เป็นเกมของจริงในทัวร์นาเม้นต์จริง ไม่ใช่อุ่นเครื่อง เมียนมาร์ กับ ซีเรีย ก็เตะกับทีมซามูไรในรายการจริงจังเหมือนกันคือคัดเลือกฟุตบอลโลก แต่ผลการแข่งขันและรูปเกมที่ออกมาห่างกันไกลสุดขั้วทำให้เหมือนทั้ง 2 ทีมเก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้มากนัก

เราเองที่แพ้ญี่ปุ่น 0-5 ก็ได้ประสบการณ์ในระดับหนึ่ง แต่ความแตกต่างระหว่างเกมของเรากับของเวียดนามอยู่ตรงที่ว่านอกจากของเราเป็นแค่เกมอุ่นเครื่องขณะที่ของเขาเป็นเกมเดิมพันจริงแล้ว มันยังดูเหมือนเวียดนามสามารถเล่นในฟุตบอลของตัวเองมากกว่าเรา เป็นตัวเองมากกว่าเรา จึงมองเห็นระดับความสามารถที่แตกต่างระหว่างพวกเขากับญี่ปุ่นได้ชัดกว่าเรา

ด้วยรูปเกมที่ออกมาที่โตเกียว เราแทบไม่มีโอกาสต่อบอลบุกสร้างความกดดันให้ญี่ปุ่นเลย ขณะที่การรับมือกับเกมบุกของพวกเขา บอลทะลุเข้ามาถึงแดนสามหรือในเขตโทษบ่อยครั้ง ต้องเตะสกัดวิ่งไล่ช่วยซ้อนกันวุ่นวาย

ดูแล้วหวาดเสียวว่าจะเสียประตูเมื่อไหร่ เพราะบอลของญี่ปุ่นมาเรื่อยๆ และเรื่อยๆ พูดได้ว่าขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นเองว่าทำนบจะพังเมื่อไหร่

มันจึงเป็นภาพว่าเราถูกกดให้ตั้งรับจนแทบไม่ได้เล่นเกมของตัวเอง ซึ่งต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องน่าอายกับมาตรฐานที่เราห่างจากเขาในเวลานี้ ทีมอื่นๆ ก็อยู่ในสภาพเดียวกับเรา ไล่เรียงมาได้เลย เปรู เอล ซัลวาดอร์ แคนาดา ตุรกี แทบเป็นภาพถูกสอนบอล หรือกระทั่งเยอรมันก็ถูกกดจนไม่เจอบอลอยู่พักใหญ่

แต่กับเวียดนามเมื่อวานนี้ไม่ใช่เลย ญี่ปุ่นเองต่างหากที่อึดอัด ทำอะไรไม่ถนัดเมื่อพบกับความกล้าหาญและแท็กติกของเวียดนาม สมาธิของผู้เล่นตระกูลเหงียนที่ไม่ตกหล่นเลยตลอด 90 นาที ทีเด็ดจากลูกตั้งเตะที่เตรียมไว้เล่นงาน

นักเตะญี่ปุ่นและ ฮาจิเมะ โมริยาสุ โค้ชของทีมเองยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมยอมรับคู่แข่งของพวกเขา โมริยาสุ พูดกระทั่งว่าเวียดนามให้บทเรียนกับนักเตะของเขาด้วยซ้ำว่าอย่าประมาทและอย่าคิดว่าเอเชียน คัพมันง่าย

เห็นเวียดนามสู้กับญี่ปุ่นได้อย่างนี้แล้วรู้สึกมีความหวังเชื่อมต่อมาถึงเราเหมือนกันครับ พวกเขาเลือกทรุสซิเย่ร์เข้ามาต่อยอดจากสิ่งที่ ปาร์ค ฮัง ซอ ทำไว้ เราเองก็มอบความไว้วางใจให้ มาซาทาดะ อิชิอิ ที่แสดงฝีมือให้เห็นมาแล้วได้ทำงาน

ฟุตบอลไทยอาจจะอยู่ในช่วงขลุกขลัก ศรัทธาหดหาย แฟนบอลเข้าชมเกมไม่เต็มสนาม แต่ตอนนี้กำลังจะมีความเปลี่ยนแปลง โค้ชใหม่ทำงานแล้ว นายกสมาคมฟุตบอลคนใหม่ก็กำลังจะเริ่มงานหลังการเลือกตั้งในเดือนหน้า

หวังว่าอะไรที่แย่อยู่จะได้รับการแก้ไข อะไรที่ดีแล้วจะมีการสานต่อสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อไป รวมทั้งวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล นำเข้ามาซึ่งสิ่งใหม่ๆ ส่งเสริมการพัฒนา และการทำงานอย่างอุทิศตน จริงใจ เสียสละ เพื่อให้ฟุตบอลไทยเดินไปบนทางที่ถูกต้อง

แต่นั่นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เอเชียน คัพ คือสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ยอมรับตามตรงว่าประทับใจกับเวียดนามและอยากจะเห็น อินโดนีเซีย กับ มาเลเซีย ว่าจะทำได้ดีแค่ไหนในวันนี้

และแน่นอนครับ กับเกมแรกของเราด้วยในวันพรุ่งนี้

ขอให้เราเชื่อในตัวเองและแสดงความเป็นตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด ผมยังเชื่อและหวังอยู่ลึกๆ ว่าเราจะทำได้ดี..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport