นรกก็คือนรก,แผงหลังสร้างสถิติ! 5 ประเด็น แมนยู ยังไร้ชัยในถิ่น กาลาตาซาราย

จนแล้วจนรอด สนาม อาลี ซามี เยน หรือ แรมส์ พาร์ค ตามชื่อสปอนเซอร์ของสโมสร กาลาตาซาราย ยังคงเป็น "นรก" สำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด เหมือนเคยเนื่องจาก ปีศาจแดง ไม่มีทั้งขนมจีนและน้ำยาที่จะบุกมาคว้าชัยที่นี่ได้ต่อไปจากการฟาดแข้งถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดที่สี่ของกลุ่ม เอ เมื่อวันพุธที่ 29 พ.ย. ซึ่งผลการฟาดแข้งจบลงแบบสุดมันส์ด้วยสกอร์ 3-3

แม้ทีมของ เอริค เทน ฮาก จะออกสตาร์ตได้อย่างสวยหรูอีกนัด แถมได้ประตูนำไปก่อนถึงสองเม็ด แต่ปัญหาเดิมๆของพวกเขาก็คือแทบไม่มีเลยสักเกมที่คุมสถานการณ์ได้ดีพอ และปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามได้โอกาสยิงประตูเป็นว่าเล่นจนสุดท้ายไม่วายโดนทวงสกอร์คืนซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งแต้มที่ได้มาไม่น่าจะเพียงพอต่อการเอาตัวรอดจากรอบแบ่งกลุ่มเนื่องจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องยืมจมูกทีมอื่นหายใจแล้ว แถมเกมสุดท้ายที่มีภารกิจหนักอึ้งต้องต้อนรับการมาเยือนของ บาเยิร์น มิวนิค ใครจะไปเชื่อว่าด้วยฟอร์มที่น่าเป็นห่วงเช่นนี้ อสูรแดง จะคว้าชัยได้หลังจากนัดแรกพวกเขาออกไปพ่าย เสือใต้ มาก่อนด้วยสกอร์ 4-3

1. เจ้าถิ่นส่ง ซีเย็ค ออกสตาร์ต

กาลาตาซาราย ซึ่งบุกไปสอยตาข่ายแซงชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-2 ในเกมแรกเปลี่ยนนักเตะตัวจริงสามรายจากเกมลีกเติร์กนัดถล่ม อาลันยาสปอร์ 4-0 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

ในจำนวนนี้ประกอบไปด้วย ฮาคิม ซีเย็ค ที่ย้ายมาจากทีม เชลซี แบบยืมตัว , อันเจลิโน่ อดีตกองหลัง แมนฯ ซิตี้ และ อับดุลเคริม บาร์ดัคซี ปราการหลังอีกราย

ส่วนสามนักเตะที่หลุดไปจากโผ 11 คนแรกของเกมนี้ได้แก่ ดาร์วินซอน ซานเชซ ที่บาดเจ็บ ขณะที่ คาซิมชาน คาราตาส และ บาริส ยิลมาซ  มีชื่อนั่งสำรอง

2. ฮอยลุนด์ ควง อันโตนี่ คืนฟิต

แมนฯ ยูไนเต็ด จำต้องปรับหมากในแผงรุกโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เนื่องจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด ติดโทษแบนหนึ่งนัด แต่ อันโตนี่ กับ ราสมุส ฮอยลุนด์ เรียกความฟิตลงเล่นเป็นตัวจริงได้ทั้งคู่

ผีแดง ไม่อาจใช้บริการดาวยิงทีมชาติ อังกฤษ ได้เนื่องจากเขาโดนไล่ออกนัดบุกไปแพ้ โคเปนเฮเก้น 4-3 แต่ปีกขวาทีมชาติ บราซิล และกองหน้าทีมชาติ เดนมาร์ค ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเกมลีกนัดบุกไปทุบ เอฟเวอร์ตัน 3-0 เนื่องจากบาดเจ็บกลับมาลงเล่นได้ทั้งคู่

อย่างไรก็ดี ผีแดง มีการปรับทัพในตำแหน่งอื่นๆเช่นกัน รวมทั้งสิ้น เทน ฮาก เปลี่ยนโผตัวจริงจากเกมฟัดกับ ท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน สี่รายซึ่งนอกจากจะได้ ฮอยลุนด์ กับ อันโตนี่ คืนสนามแล้ว กุนซือดัตช์ตัดสินใจดร็อป ค็อบบี้ ไมนู ดาวรุ่งวัย 18 ปีโดยเลือกส่ง โซฟียาน อัมราบัต ลงบู๊เช่นเดียวกับ อารอน วาน บิสซาก้า ที่แย่งตำแหน่งคืนมาจาก ดีโอโก้ ดาโลต์ ได้

3. การ์นาโช่ ปลุกความฮึกเหิม

เป็นนัดที่สองติดต่อกันที่ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ยิงประตูได้ตั้งแต่ต้นเกมสร้างความเชื่อมั่นให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด เหมือนในศึก พรีเมียร์ลีก แมตช์บู๊กับ เอฟเวอร์ตัน ด้วยการพาทีมบุกมานำเร็วตั้งแต่นาทีที่ 11

สำหรับประตูดังกล่าวบ่งบอกให้เห็นว่าเจ้าหนูเลือดฟ้าขาวกลับมาอยู่ในฟอร์มที่จัดจ้านดังเดิมแล้ว และกำลังเล่นได้อย่างมั่นใจสุดขีดโดยเฉพาะจังหวะสับไกของเขาซึ่งเต็มไปด้วยความเด็ดขาดและเฉียบคม

ขณะเดียวกัน การ์นาโช่ นับเป็นนักเตะอาร์เจนไตน์อายุน้อยที่สุดอันดับสอง (19 ปี 151 วัน) ด้วยที่ยิงประตูในถ้วยใบนี้ได้รองจาก ลิโอเนล เมสซี่ ในวัย 18 ปี 131 วันเมื่อวันที่ 2 พ.ย.2005 

อย่างไรก็ดี แมนฯ ยูไนเต็ด ยังแก้ปัญหาในการคุมสถานการณ์ไม่ได้อยู่นั่นเองเนื่องจากถูกฝ่ายตรงข้ามบุกเข้าใส่ตามเคย และแม้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส จะตะบันให้ทีมนำห่าง 2-0 ในนาทีที่ 18 แต่ กาลาตาซาราย ไม่เสียขวัญ และมาได้ประตูตีไข่แตกจาก ซีเย็ค ซึ่งยิงฟรีคิกตุงตาข่ายในนาทีที่ 29 ช่วยให้เจ้าบ้านไล่ตาม 2-1

รวมแล้ว ทีมดังของลีกเติร์กสร้างปัญหาให้กับ ผีแดง ได้หลายหน และหวิดได้ประตูหลายครั้งจากการครองบอลที่เหนือกว่าใน 45 นาทีแรก 57:43% และหาโอกาสเช็กบิลได้มากกว่า 9-5 ครั้ง อีกทั้งส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 3-2 ครั้ง แต่มีสกอร์เป็นรอง

4. สานต่อผลงานเลวร้าย

กลับสู่ครึ่งหลัง ผีแดง เริ่มเกมได้ดีกว่าอีกตามเคยเมื่อ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ทำประตูแรกของตัวเองในถ้วยใบนี้ได้เช่นกันด้วยการปราดเข้าซัดลูกผ่านจากกราบขวาของ วาน บิสซาก้า ปะทะตาข่ายในนาทีที่ 55 พาทีมเยือนนำห่าง 3-1 ซึ่งถือเป็นความแตกต่างระหว่างทั้งสองทีมเนื่องจากอาคันตุกะใช้โอกาสในเกมที่มีน้อยกว่าได้เฉียบคมกว่า

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เร้ด เดวิลส์ ยังทำให้ตัวเองลำบากไม่เลิกโดยเฉพาะ แฟร์นันด์ส ทำฟาวล์จนทีมเสียลูกฟรีคิกที่กลายเป็นประตูของเจ้าบ้านทั้งสองหนจากการเหมายิงของ ซีเย็ค ในนาทีที่ 62 เปลี่ยนสกอร์เป็น 3-2 ซึ่งบ่งบอกได้เต็มสองตาว่าลูกทีมของ เทน ฮาก ไม่มีความช่ำชองในการประคับประคองสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย

และในที่สุด ประตูที่สามของเจ้าบ้านก็อุบัติขึ้นจริงๆในนาทีที่ 71 แม้ในช่วงที่เหลือสถานการณ์จะบีบให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเดินหน้า และหาโอกาสยิงประตูได้มากกว่า กาลาตาซาราย แล้ว แต่ส่วนใหญ่เป็นจังหวะยิงจากหน้าเขตโทษเนื่องจากทีมต้องการประตูที่สี่โดยเร็ว หรือไม่ก็ยิงทิ้งยิงขว้างก่อนลงเอยด้วยผลเสมอ 3-3 โดยหลังจบ 90 นาที เจ้าบ้านยังครองบอลได้มากกว่า 58:42% แต่เป็นทีมเยือนที่พลิกมาส่องยิงได้มากกว่า 17:16 ครั้ง แต่ส่งบอลเข้ากรอบได้แย่กว่า 8:4 ครั้ง

ฉะนั้นแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด จึงไม่สามารถบุกมากำราบ กาลาตาซาราย ได้สักที แม้จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาทำประตูคู่ปรับรายนี้ในแดนเติร์ก ได้ แถมได้มาทีเดียวสามประตูด้วย แต่มันไม่มากพอที่จะทำให้พวกเขาได้ไชโยโห่ร้องอยู่ดีจากการบุกมาเหยียบ "นรกบนดิน" หนนี้เป็นหนที่สี่ และมีสถิติเสมอ 3 แพ้ 1 (0-0, 0-0 , 1-0 , 3-3)

5. แผงหลังสร้างชื่อ (ในทางลบ)


กลายเป็นทีมที่มีเกมรับเปราะบางอย่างน่าตกใจไปซะแล้วสำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในซีซั่นนี้เนื่องจากพวกเขาโดนสอยตาข่ายในทุกรายการไปแล้วมากถึง 33 ประตู

หากจะนับเฉพาะถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นนี้ ปีศาจแดง โดนกระทุ้งไปแล้ว 14 ประตูจากห้าเกมของรอบแบ่งกลุ่มซึ่งทำให้พวกเขาเป็นสโมสรจากอังกฤษที่มีสถิติเกมรับย่ำแย่ที่สุดเช่นกัน

- ทำเนียบทีมจาก พรีเมียร์ลีก ที่เสียประตูในถ้วยหูใหญ่รอบแบ่งกลุ่มมากที่สุดจากห้าเกมแรก

14 - แมนฯ ยูไนเต็ด (2023-24)

11 - แมนฯ ยูไนเต็ด (1994-95)

11 - สเปอร์ส (2019-20)

10 - แมนฯ ยูไนเต็ด (1998-99)

10 - แมนฯ ซิตี้ (2012-13)

10 - อาร์เซน่อล (2015-16)


ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport