แมนซิตี้ พบ ลิเวอร์พูล : เพราะนี่คือทีมที่ 'เป๊ป' กลัวที่สุด

"คุณจะต้องพอใจกับหนึ่งแต้มในวันนี้ นี่คือเกมที่ยาก นี่คือสนามที่มาแล้วเจอความลำบากเสมอ แน่นอนพวกเราสามารถเล่นได้ดีกว่านี้แต่ผลเสมอในวันนี้ได้บอกอะไรบางอย่างออกมา"

ประโยคแรกที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ พูดออกมาหลังเกมก็เหมือนเป็นบทสรุปบิ๊กแมตช์จาก เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อวันเสาร์

แน่นอนมันมีเหตุผลว่าทำไม คล็อปป์ ถึงพอใจกับหนึ่งคะแนน

ก็โปรแกรมเดียวกันนี้ฤดูกาลที่แล้วเมื่อเดือนเมษายนมาแพ้ย่อยยับถึง 1-4 ซึ่งในวันนั้นก็ทำให้มีการตั้งคำถามถึงตัวเขาอีกด้วยว่า "ยังมีไฟอยู่หรือเปล่าในการสร้างทีมใหม่?"

ใช่ครับ ถึงตรงนี้นั่นก็คือคำถามที่ไม่ควรถาม ถึงตรงนี้นั่นก็เหมือนแรงผลักที่ทำให้โค้ชผู้นิยมการสวมหมวกอยากท้าทายตัวเองอีกครั้ง

มีสถิติหนึ่งที่ทั้งน่าทึ่งและสะท้อนอะไรบางอย่างออกมา นั่นก็คือนับจากวันนั้นกับสกอร์ 1-4 ก็พบว่า ลิเวอร์พูล เพิ่งแพ้แค่เกมเดียวเท่านั้นจาก 24 เกมในลีก เหนืออื่นใดเกมเดียวที่ว่าก็เป็นเกมที่เต็มด้วยข้อกังขาในวันที่ออกไปเสียท่าให้ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ส1-2 ตอนปลายเดือนกันยายน

มีอะไรบ้างที่ คล็อปป์ เปลี่ยนทีมตัวเองจนพุ่งทะยานขึ้นมาเกาะกลุ่มหัวตารางได้อีกครั้ง? ปรับบทบาท เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เข้ากลางเป็นมิดฟิลด์ตัวพิเศษยามทีมได้เกมรุกหรือตามศัพท์ฝรั่งก็ "hybrid full-back-midfield"

บังเอิญอีกว่าคนที่ซัดตีเสมอให้ทีมก็เป็น 'เทรนท์' อีกเช่นกัน แน่นอนว่าจังหวะนั้นในนาที 80 ถ้ายังเป็นแท็กติกเก่าที่เกาะอยู่แต่ริมเส้นด้านขวาแล้วก็คงไม่พบประตูสุดสวยอย่างนี้

อีกจุดต่อมาก็คือเกมรับที่มีแค่อาร์เซน่อลเท่านั้นที่เสียน้อยกว่า จุดนี้ถือว่าสำคัญสำหรับใครก็ตามที่อยากจะก้าวไปประสบความสำเร็จ

เพราะวลีที่คงอมตะตลอดกาล"เกมรับจะทำให้คุณเป็นแชมป์"

สำคัญที่สุด นี่คือทีมที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ให้ความยำเกรงมากที่สุด เขาเองพูดออกมาอีกครั้งหลังเกมเมื่อวันเสาร์ "เรารู้ว่าพวกเขาเป็นทีมยอดเยี่ยมมาก ตลอด7ปีมานี้ผมก็เรียนรู้จากพวกเขามาเยอะว่านี่จะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในการแย่งแชมป์"

ลิเวอร์พูล อาจโชคดีที่ตามหลังแค่ลูกเดียวในครึ่งแรก

ลิเวอร์พูล ก็อาจจะครองบอล, ผ่านบอลและผลิตโอกาสได้น้อยกว่าซึ่งถือว่าไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นบ่อยนัก

แต่นั่นเองเป็นวิธีการที่ คล็อปป์ เข้าใจและตั้งใจอยู่แล้วกับเกมแพลนที่ต้องบุกมารังสีฟ้าของทีมที่ได้ชื่อว่าเป็นหมายเลขหนึ่งแห่งยุค

ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากไปเปิดหน้าแลกหมัดต่อหมัดกับทีมเป๊ป??

ฟุตบอลเป็นเกมที่บ่อยครั้งก็ขึ้นอยู่กับว่าใครฉวยโอกาสได้ดีกว่ากันแค่นั้น ฟุตบอลก็ยังเป็นเกมที่ตัดสันกันที่จำนวนครั้งที่ส่งลูกหนังเข้าสู่ก้นตาข่ายได้

ฤดูกาลนี้ คล็อปป์ เปลี่ยนทีมบ่อยครั้งโดยจากสถิติก็ถือว่าเยอะที่สุดนับแต่เขาเข้ามาคุมทีม นั่นก็คือสัญญาณอะไรบางอย่าง เกมกับซิตี้ก็เปลี่ยนสำรองครบโควตา 5 คน เปลี่ยนตั้งแต่ตอนยังตามหลังไปจนถึงเปลี่ยนเพื่อหวังผลเสมอกลับออกไป

ทางตรงกันข้ามกับ เป๊ป ที่ยึด11ตัวแรกตั้งแต่ต้นจนจบซึ่งความจริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เขาเองเคยทำมาแล้วแต่เหตุผลหลักมาจากตัวสำรองที่มีไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้เขาว่าจะลงไปแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็น

นี่ก็ถือเป็นหนึ่งอย่างที่ ลิเวอร์พูล ดูเหนือกว่า นั่นก็เป็นคุณภาพของตัวสำรองข้างสนาม

ระหว่างเกมที่กำลังดำเนินไปก็พบท่าทีกระวนกระวายจาก เป๊ป ถึงสกอร์นำอยู่ก็ตาม เขาหันไปหาแฟนบอลทางด้านซ้ายมือพร้อมแปลงร่างเป็นเชียร์ลีดเดอร์กระตุ้นให้ช่วยกันตะโกนให้กำลังใจนักเตะ ขณะเดียวกันก็มีบางจังหวะที่ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นพอเห็นลูกทีมทำผิดพลาดเสียบอล

ครับ อย่าถามว่าเพราะอะไร

แมนฯ ซิตี้ สะดุดหยุดสถิติชนะรวดในบ้าน 23 เกมเรียบร้อยเมื่อวันเสาร์ ภาพรวมทั้งหมดทำให้ผมนึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาที่ เป๊ป เคยกล่าวติดตลกเอาไว้

"Liverpool are pain in the ass"

"ไก่ป่า"


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ไก่ป่า
เอกราช นิติสุทธิ์สกุล
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport