โม ซาลาห์ สุดสำคัญ, ดาร์วิน นูนเญซ ร้อนแรง! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล ทุบ เวสต์แฮม

ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้อย่างสุดยอดในแมตช์ล่าสุดที่เปิดรังแอนฟิลด์ ไล่ทุบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 3-1 ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา โดย "หงส์แดง" แสดงให้เห็นถึงเกมรุกที่สุดอันตราย ขณะที่แผงมิดฟิลด์มีความลงตัวมากยิ่งขึ้น ขณะที่เกมรับการได้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กลับมาทำให้ทีมเล่นได้แน่นอนมากขึ้น สำหรับการคว้า 3 คะแนนทำให้ตอนนี้ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ขยับขึ้นมารั้งรองจ่าฝูงมี 16 แต้มตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แค่ 2 คะแนนเท่านั้น

1. ซาลาห์ สร้างสถิติอีกแล้ว

 แฟนบอลลิเวอร์พูล คงมีความสุขที่สุดที่ โม ซาลาห์ เลือกที่จะฝากอนาคตเอาไว้ในแอนฟิลด์ต่อไป หลังโดน อัล-อิตติฮัด ยั่วยวนด้วยเม็ดเงินมหาศาลช่วงซัมเมอร์นี้ เพราะผลงานของ "บังโม" ร้อนแรงเหลือเกิน และมีส่วนสำคัญในเกมที่ทุบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

 การเล่นอย่างเข้าขาระหว่าง 3 ประสานในแดนหน้าโดยเริ่มจาก หลุยส์ ดิอาซ ที่ผ่านบอลให้ ดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งวิ่งถลำไปแล้วแต่โชคดีที่บอลไปโดนเท้าหลังและไปเข้าทาง ซาลาห์ ซึ่งโชว์ความเก๋าด้วยการแตะบอลเข้ากลาง ก่อนโดนทำฟาวล์ทำให้ได้จุดโทษ และเจ้าตัวก็สังหารไม่เหลือซากส่งให้ "หงส์แดง" ขึ้นนำ 1-0

สำหรับประตูนี้ทำให้ "คิง ออฟ อียิปต์" สร้างสถิติสุดยอดกลายเป็นนักเตะคนแรกในหน้าประวัติศาสตร์ศึกพรีเมียร์ลีกที่มีส่วนร่วมกับการได้ประตู 12 เกมติดต่อกัน 2 ครั้ง

นอกจากนี้ยังเป็นผู้เล่นคน 5 ที่ยิงหรือแอสซิสต์ให้กับต้นสังกัดตัวเองในเกมลีก 6 แมต์แรก โดยก่อนหน้านี้ก็คือ เดวิด เบ็คแฮม (2000/2001), เธียร์รี่ อองรี (2004/2005), เซร์คิโอ อเกวโร่ (2019/2020)  และ เออร์ลิง ฮาลันด์ (2022/2023)

ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นเครื่องการันตีอย่างชัดเจนว่า "เดอะ เร้ดส์" จำเป็นต้องมี ซาลาห์ เพื่อสร้างสรรค์เกม และยิงประตูหากพวกเขาต้องการที่จะเบียดลุ้นแชมป์ลีกกับ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

2. ฟาน ไดค์ ความหวังเกมรับ

นอกจากความเหนียวหนึบของ อลีสซง เบ็คเกอร์ แล้ว สิ่งที่ทำให้ ลิเวอร์พูล มีเกมรับแข็งแกร่งก็คือการหวนกลับมาคุมแบ็กโฟร์ของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ซึ่งโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในแมตช์นี้

แนวรับชาวดัตช์ กลับมาลงสนามเป็นเกมแรกนับตั้งแต่ที่โดนแบนจากการถูกไล่ออกในแมตช์ปะทะ "สาลิกาดง" นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และถือเป็นหัวใจหลักในเกมรับที่ช่วยทำให้ "หงส์แดง" เล่นได้อย่างแข็งแกร่ง 

แม้ ฟาน ไดค์ จะโดนตำหนิไปบ้างจากจังหวะที่ปลอ่ยให้ จาร์ร็อด โบเว่น วิ่งตัดหน้าพุ่งโหม่งส่งบอลเข้าประตู ทำให้ทัพ "ขุนค้อน" ไล่ตีเสมอ 1-1 ทั้งๆ เหลืออีกไม่กี่นาทีจะหมดเวลาครึ่งแรก แต่นอกนั้นนักเตะเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะลูกกลางอากาศที่ทำได้ดีมากๆ รวมถึงจังหวะโหม่งชงให้ โชต้า ทำประตู 3-1 ด้วย 

ตอนนี้สาวก "เดอะ เร้ดส์" ยอมรับว่า ฟาน ไดค์ ไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุด แต่ผลงานของเขายังพอฝากผีฝากไข้ได้บ้าง และหวัง อิบราฮิม่า โกนาเต้ จะกลับมาจับคู่กับ ฟาน ไดค์ เพราะถ้าหากทั้งสองคนเล่นร่วมกัน มั่นใจได้เลยว่าคู่แข่งคงต้องเจอกับงานสุดหินในการเจาะเข้าไปทำประตู  

3. นูนเญซ ร้อนแรงไม่เกรงใจใคร

คนที่เคยปรามาสผลงานของ ดาร์วิน นูนเญซ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ตอนนี้คงเริ่มรู้สึกผิดแล้ว เนื่องจากฟอร์มการเล่นของนักเตะกำลังดีวันดีคืน ล่าสุดก็โชว์ทักษะการเป็นยอดดาวยิงให้เห็นอีกครั้ง

หัวหอกทีมชาติอุรุกวัย สร้างปัญหาให้กับแนวรับของ "เดอะ แฮมเมอร์ส" ตลอดไม่ว่าจะมีบอลหรือไม่มีก็ตาม ประตูขึ้นนำของ ลิเวอร์พูล ส่วนหนึ่งมาจากไหวพริบของเขาที่ใช้ส้นเท้าตวัดบอลให้ ซาลาห์ จนนำไปสู่การได้จุดโทษ และเป็นประตู 1-0

ครึ่งหลัง นักเตะมีโอกาสทำประตูจากจังหวะที่ "บังโม" ผ่านบอลให้ในเขตโทษ และเจ้าตัวรีบตวัดยิงแต่บอลออกไม่เข้าประตู แม้หลายคนมองว่าเจ้าตัวทำหมูหก แต่หากวิเคราะห์ดีๆ จะเห็นว่า นูนเญซ ฉลาดในการหาพื้นที่ว่าง และยิงเร็วก่อนที่คู่แข่งจะเข้ามาสกัด 

ส่วนจังหวะการจบสกอร์ให้ทีมขึ้นนำ 2-1 เป็นการแสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณกองหน้าอย่างชัดเจน และน่าจะทำให้พวกที่ชอบวิจารณ์ฟอร์มของเขาหุบปากกันซะที เชื่อว่าจากผลงานของ นูนเญซ ในตอนนี้ คงทำให้คู่แข่งเริ่มรู้แล้วว่าถ้าเปิดโอกาสให้เขาเมื่อไหร่มีสิทธิ์เสียประตูสูงมาก 

4. แดนกลางแข็งแกร่ง

ตอนนี้ คล็อปป์ น่าจะได้แดนกลางตัวหลักที่ต้องการแล้ว โดยแมตช์กับ เวสต์แฮม เห็นได้ชัดว่าทั้ง เคอร์ติส โจนส์, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โดมินิค โซโบซไล  ทำผลงานไดอย่างเข้าขากันเหลือเกิน

สำหรับ โจนส์ อาจจะไม่ใช่ตัวหลัก เพราะทีมยังมี ไรอัน กราเฟนแบร์ก, าตารุ เอ็นโด และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ที่พร้อมแย่งตำแหน่ง แต่แมตช์นี้ "ไอ้หนุ่มโจนส์" เล่นได้ดีแม้ไม่โดดเด่น ประสานงานกับเพื่อนๆ ยอดเยี่ยม และยิงประตูได้แต่น่าเสียดายที่วีเออาร์ริบเพราะเป็นจังหวะล้ำหน้า

ขณะที่ โซโบซไล ยังเป็นเครื่องจักรในการแดนกลาง พละกำลังเหลือเฟือ วิ่งพล่านไปทั่วสนาม คอยทำหน้าที่ขับเคลื่อนแดนกลาง ที่สำคัญยังมีทีเด็ดเรื่องการเปิดบอลและยิงประตูด้วย 

ส่วนคนที่โดดเด่นมากๆ ในแผงมิดฟิลด์เกมนี้ก็คือ แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่เล่นเกมรับได้ดีเยี่ยม ส่วนเกมรุกโดดเด่นเป็นสง่า โดยเฉพาะจังหวะการเปิดบอลอย่างแม่นยำให้ นูนเญซ ซัดประตู 

แน่นอนว่าแฟนบอล "หงส์แดง" มีความสุขอย่างมากกับขุมกำลังในเวลานี้ เพราะแดนกลางที่เคยเป็นจุดอ่อนเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ตอนนี้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ส่วนแนวรุก ยังโดดเด่นเหมือนเดิม ขณะที่เกมรับยังมีจุดให้ต้องแก้ไขอยู่บ้าง แต่ก็น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ  

5. ไม่แพ้ 17 เกมติดต่อกันในลีก

แม้ว่าเกมลีกจะผ่านไป 6 แมตช์แต่หลายคนเริ่มจับตามอง ลิเวอร์พูล ว่าเป็นคู่แข่งตัวจริงของ แมนฯ ซิตี้ ในการลุ้นแชมป์ลีกฤดูกาลนี้ หลังทำสองทีมทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเหนือคู่แข่งรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น อาร์เซน่อล, สเปอร์ส แมนฯ ยูไนเต็ด และนิวคาสเซิ่ล 

ชัยชนะในแมตช์ถลุง เวสต์แฮม ทำให้ตอนนี้ทีมของคล็อปป์ สร้างสถิติไร้พ่าย 17 แมตช์ติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก (นับซีซั่นที่ผ่านมาด้วย) โดยเสมอเพียง 5 เกมที่เหลือเป็นชัยชนะเรียบวุธ

นอกจากนี้ "เดอะ เร้ดส์" ยังเก็บชัยชนะ 5 แมตช์ติดต่อกันในทุกรายการซีซั่นนี้ จากผลงานในเวลานี้น่าจะทำให้ ลิเวอร์พูล เล่นด้วยความมั่นใจมากยิ่งขึ้น แม้พวกเขาจะเสียประตู แต่ก็สามารถกลับมาชนะได้ตลอด สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าสปิริตหงส์แดง" สุดยอดจริงๆ 

ทอมเม้ง


ที่มาของภาพ : gettyimages,
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport