ไอ้เราก็เล่นดีซะด้วย ทีนี้ก็ว้าวุ่นเลย

ชัยชนะเหนือ แอสตัน วิลล่า 3-0 ที่ แอนฟิลด์ พาให้นึกถึงแนวทางการเล่นเมื่อฤดูกาล 2019/20 เลยนะครับ

ซีซั่นนั้น ลิเวอร์พูล คว้าชัยในบ้าน 18 จาก 19 นัด และบั้นปลายจบด้วยตำแหน่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก

ไม่ได้บอกว่า ลิเวอร์พูล จะกลับมาครองบัลลังก์อีกครั้ง แต่รูปแบบการเล่นที่ออกมามันคือ 4 อัตลักษณ์ที่เราเคยเห็นในยุค เจอร์เก้น คล็อปป์

3 จาก 4 คือการได้ประตูเร็ว, ทำสกอร์ได้จากลูกเซตพีซ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำประตูได้ต่อหน้า เดอะ ค็อป 

ส่วนอันสุดท้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ การเพรสซิ่ง

เป๊ป ไลน์จเดอร์ส มือขวาข้างกาย คล็อปป์ เคยพูดไว้เมื่อปี 2019 ว่า 

"สิ่งที่สื่อถึงตัวตนของเราคือการเล่นแบบเอาจริงเอาจัง มันก็ง่าย ๆ เลย"

"สิ่งที่สำคัญคือการเดินหน้ากระตุ้นหลักความคิดของเราต่อไปในเรื่องการเอาบอลมาครองให้ได้โดยเร็ว และแย่งบอลมาครองให้ได้ตั้งแต่ในพื้นที่ของคู่แข่ง หากมันมีโอกาสที่จะทำอย่างนั้นได้"

อย่างไรก็ดี ความเป็นตัวตนแบบนั้น เราหาไม่เจอเลยเมื่อฤดูกาลก่อน 

แล้วมันเพิ่งกลับมาให้เห็นอีกในปีนี้

นัดแรกของซีซั่น 2023/24 ลิเวอร์พูล เพรส ใส่ เชลซี ได้อย่างมีประสิทธิภาพตอนครึ่งเวลาแรก 

ย้ำนะครับว่าแค่ 45 นาทีแรก เพราะตอนครึ่งหลัง กลับกลายเป็นคนละเรื่อง

"เราพยายามที่จะลดพื้นที่ด้วยการถอยหลังแทนที่จะเดินหน้าขึ้นไป" คล็อปป์ อธิบายถึงการเล่นช่วงครึ่งหลังในเกมเจอ เชลซี

"จากนั้นพวกเขาหาทางให้ สเตอร์ลิง เล่นระหว่างไลน์ได้ พอเป็นอย่างนั้น (รีซ) เจมส์ ก็กลับคืนสู่เกมได้ทันที ส่วน ชิลเวลล์ เล่นได้ดีขึ้น"

"จริง ๆ แล้ว เราควรแก้ไขได้ดีกว่านี้ แต่ผมก็เห็นถึงพื้นฐานที่ดีแล้วนะ" 

.

.

.

ลิเวอร์พูล จัดการการขึ้นเกมของ วิลล่า ตั้งแต่ 2 นาทีแรก

อูไน เอเมรี่ ปรับโฉม "สิงห์ผงาด" ในรูปแบบการเล่น 3-4-2-1 โดยดันฟูลแบ็กขึ้นสูง, ใช้หมายเลข 10 สองคน โดยมีกองหน้าคือ โอลลี่ วัตกินส์

คล็อปป์ ใช้กลยุทธ์วางกับดักแทนที่จะไล่บี้แบบดุเดือด 

ตอนแรก ลิเวอร์พูล ถอยไปตั้งรับลึก แต่พอ วิลล่า เริ่มขึ้นเกมจากทางฝั่งซ้าย พวกเขาก็พุ่งเข้าใส่ทันที 

ซาลาห์ วิ่งปิดพื้นที่จนกลายเป็นการขวางช่องผ่านบอลไปยังแบ็กซ้าย โดยที่ เปา ตอร์เรส เซนเตอร์แบ็กฝั่งซ้ายคือ "เหยื่อ" 

การมี ตอร์เรส เป็นเป้านั้นถือว่าพวกเขาเลือก "เหยื่อ" ได้ถูกต้อง

ด้วยการที่แนวรับสแปนิช ถนัดเท้าซ้าย การบีบให้เขาต้องเล่นด้วยเท้าข้างไม่ถนัดช่วยลดทอนการออกบอลได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นการไม่ให้ ลูก้าส์ ดีญ ได้บอลมากนัก

แน่นอนว่า วิลล่า จำเป็นต้องขึ้นเกมทางฝั่งซ้าย ซึ่งมี ดีญ ที่มีความโดดเด่นเรื่องเกมรุก มากกว่าบุกทางฝั่งขวาที่มี เอซรี่ คอนซ่า ยืนต่ำเพื่อหุบเข้ามาเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็กฝั่งขวาตอนเล่นหลังสาม

เคอร์ติส โจนส์ และ โดมินิค โซโบซไล ที่ประจำการมิดฟิลด์์ฝั่งซ้ายกับขวาตามติดมิดฟิลด์ตัวรับคนคู่(Double Pivot) ของ วิลล่า อย่าง บูบาการ์ กามาร่า และ ดั๊กลาส ลุยซ์

และเมื่อ วิลล่า เซตเกมจากหน้าปากประตู ดีเอโก้ คาร์ลอส ส่งคืนให้ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ แล้วจ่ายต่อให้ ตอร์เรส มันก็จะมี ซาลาห์ ที่คอยจ้องอยู่แล้ว

การขึงพื้นที่ของ ซาลาห์ ช่วยป้องกันไม่ให้บอลไปถึง ดีญ ได้อีกทอด 

ขณะที่ ดาร์วิน นูนเญซ ก็เข้ามาช่วยบีบอีกข้างตรึงจังหวะเผื่อ ตอร์เรส ส่งบอลคืนมายัง มาร์ติเนซ

นอกจากนี้จะเห็นได้ว่า โซโบซไล ตั้งท่ารอเข้าเพรสใส่ ดีญ โดยมี อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ดันขึ้นมาเพื่อประกบ ดั๊กลาส ลุยซ์

จากช็อตการเพรสนี้ ซาลาห์ เข้าปะทะใส่ ตอร์เรส จนทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ลูกเตะมุม ซึ่งนำมาสู่ประตูขึ้นนำจากดาวเตะฮังการี

เอเมรี่ กุนซือทีมเยือนเผยว่าอาการบาดเจ็บของ คาร์ลอส ตอนนาที 18 ทำให้แผนที่วางมาต้องเปลี่ยนไป

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ วิลล่า ต้องเปลี่ยนกองหลัง แต่แทนที่จะเปลี่ยนผู้เล่นตำแหน่งเดียวกัน กลับกลายเป็นว่าส่ง เลออน ไบลี่ย์ มาเล่นปีกขวา แล้วถอย แม็ตตี้ แคช คอยมาเล่นแบ็กขวาตามถนัด โดย คอนซ่า หุบไปยืนเป็นเซนเตอร์แบ็กฝั่งขวา

หลังจากการเปลี่ยนตัว วิลล่า ก็โดนกับดักที่ ลิเวอร์พูล วางไว้อีกครั้ง

เพียงแต่หนนี้ ซาลาห์ เข้าเพรสช้าไป และทำให้ ตอร์เรส มองหา ดั๊กลาส ลุยซ์ เจอ

อย่างไรก็ตาม ภายใต้การเพรสซิ่งของ โซโบซไล ทำให้ ลุยซ์ ผ่านบอลน้ำหนักแรงไปให้ ดีญ ทางริมเส้นซ้าย 

แล้ว ดีญ ก็โดน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เพรสใส่อีกจนต้องคลายบอลเข้ากลาง ซึ่ง โซโบซไล ก็ตามมาเก็บ กลายเป็นเทิร์นโอเวอร์ของทีมเยือน

ลิเวอร์พูล มีแนวทางหลากหลายในการกดดันคู่แข่ง

หนึ่งในนั้นคือหน้าที่ของมิดฟิลด์ตัวกลางที่ต้องเข้ามากดดัน 

ส่วนปีกต้องถอยไปตั้งรับลึกกว่าปกติและป้องกันการผ่านบอลของฟูลแบ็ก 

แน่นอนว่ามันเสี่ยงกว่าปกติ เพราะหมายความว่า แม็ค อัลลิสเตอร์ จำเป็นต้องขยับขึ้นไปอยู่ในพื้นที่ที่สูงกว่า และรับมือกับมิดฟิลด์ตัวกลางของคู่แข่งที่พวกเขาประกบอยู่ในตอนแรก

ช็อตนี้(ก่อน คาร์ลอส เจ็บ) จะเห็นว่า ดาร์วิน ทำท่าท่างหลอกล่อเพื่อให้ มาร์ติเนซ เล่นด้วยเท้าซ้าย แล้วมันก็ได้ผล

โซโบซไล ขึ้นเพรสในทางตรง ซึ่งแม้ทั่วไปมันอาจเกิดปัญหาตามมาได้ เพราะมันง่ายที่จะเลี้ยงผ่าน แต่สิ่งสำคัญคือการไม่ให้ ตอร์เรส ผ่านบอลไปยัง ดั๊กลาส ลุยซ์

การทำเช่นนี้ของ โซโบซไล ทำให้ ตอร์เรส ต้องวางบอลยาว และ โจ โกเมซ ก็เก็บกินลูกกลางอากาศกับ มูสซ่า ดิยาบี้ ได้

การบีบกดดันสูงเป็นการทำให้แผงหลังขยับขึ้นมาสูงตามไปด้วย 

โดยปกติแล้วคนที่จะขยับขึ้นมาอยู่สูงคือเซนเตอร์แบ็ก เช่น โกเมซ และทำให้แผงหลังเจอกับสถานการณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่ 

ถือเป็นการเล่นที่เสี่ยงในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม วิลล่า ไม่ได้ขึ้นเกมแบบรวดเร็วมากพอในครึ่งแรก อย่างน้อยนั่นก็ไม่ใช่ทางเลือกแรกในการเล่นของพวกเขา 

ทั้งที่ วิลล่า เคยทำแบบนั้น และประสบความสำเร็จในช่วงครึ่งแรกของเกมที่เยือน เบิร์นลี่ย์ 

"มันจะเป็นงานยากมาก ๆ สำหรับเราที่จะทำการผ่านบอลรวมกันมากกว่า 5, 8, 10 หรือ 12 ครั้ง" เอเมรี่ พูดแบบนั้นหลังเกมชนะ เบิร์นลี่ย์ 

"บางครั้งเรามีโอกาสที่จะทำอย่างนั้น แต่เราจะเอาแต่ผ่านบอลไปมาไม่ได้ เราต้องมีความเฉียบคม, มีประสิทธิภาพมากขึ้น, ขึ้นเกมให้เร็วกว่าปกติ"

วิลล่า พยายามที่จะผ่านบอลทะลุช่อง แต่ก็ยังล้มเหลวต่อไป

พวกเขามีโอกาส 2 ครั้งจากจังหวะที่บอลกระฉอกในตอนที่ถูกกดดันให้โยนยาว

ชอตเตะจากปากประตูครั้งแรกในครึ่งหลังที่ มาร์ติเนซ เตะขึ้นมานั้นทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องขยับขึ้นสูงเพื่อที่จะรับมือกับเรื่องนั้น

วัตกินส์ เอาชนะในการเจอกับ โฌแอล มาติป แล้ว แม็ค อัลลิสเตอร์ ไปทำฟาวล์ใส่ ดิยาบี้ จนนำไปสู่ฟรีคิกซึ่งเป็นโอกาสลุ้นประตูหนแรกของ วิลล่า 

อย่างไรก็ตาม สถิติที่สำคัญที่สุดคือการที่ ลิเวอร์พูล ชิงบอลกลับมาครองในแดนสามได้ถึง 7 ครั้งตอนครึ่งแรก 

ต่างจากฤดูกาลก่อนที่พวกเขาทำอย่างนั้นในช่วงครึ่งแรกได้แค่ครั้งเดียวตลอดทั้งซีซั่น

เป็นอีกครั้งที่การเพรสของ โซโบซไล ทำให้ ตอร์เรส เกิดความผิดพลาด

ตอร์เรส พยายามจะเลี้ยงบอลหาพื้นที่ แต่ถูก ซาลาห์ กับ โซโบซไล ยืนคุมพื้นที่ปกคลุมเอาไว้

ซาลาห์ เข้าปะทะใส่ ตอร์เรส ได้อีกครั้ง แล้วแย่งบอลมาเลี้ยงเข้าหากรอบเขตโทษ ทว่าสุดท้าย ซาลาห์ มากจังหวะเกินไป ไม่ได้แม้แต่จะยิงหรือส่งต่อให้เพื่อน

ไม่ทันครบหนึ่ชั่วโมง สกอร์ห่างเป็น 3-0 ลิเวอร์พูล จึงลดความเข้มข้นในการเพรสซิ่ง 

กว่าที่ ตอร์เรส จะเอาชนะการเพรสซิ่งของ ซาลาห์ ได้ก็เกิดขึ้นในนาที 83 ด้วยการเลี้ยงบอลเข้ากลาง โดยที่ ซาลาห์ ก็ยังคงวิ่งเพรสปิดช่องเดิม(ทางซ้าย)

ทั้งที่สกอร์ห่างถึง 3 ลูก ซาลาห์ ก็ยังคงเพรสใส่ไม่หยุด ซึ่งนี่เขาพยายามสไลด์ดักทางบอลที่ออกจากเท้าของ มาร์ติเนซ 

ต่อมา โจนส์, ดิอาซ และ ดาร์วิน ถูกเปลี่ยนตัวออกแทนที่ด้วย ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์, ดีโอโก้ โชต้า และ โคดี้ กัคโป ตามลำดับ

บ่อยครั้งที่การเปลี่ยนตัวทำให้แทคติคเพรซซิ่งเปลี่ยนไป แต่จากเกมล่าสุด มันไม่ได้เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล

การเพรสซิ่งของพวกเขายังคงได้ผลเหมือนเดิม

โซโบซไล ผู้ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย โยกมาเล่นทางฝั่งซ้าย ผละตัวเองจาก กามาร่า แล้วมากดดันใส่ คอนซ่า เพื่อบังคับให้ คอนซ่า เลือกจ่ายไปยัง ตอร์เรส ซึ่งมี กัคโป ยืมบีบให้ ตอร์เรส ผ่านบอลผิดตำแหน่ง

จุดที่น่าสนใจคือ ทั้ง ตอร์เรส กับ ดีญ ยืนตำแหน่งใกล้กัน แถมลงเล่นครบ 90 นาที แต่ ตอร์เรส มีโอกาสจ่ายบอลให้แบ็กซ้ายชาวฝรั่งเศส แค่หนเดียวเท่านั้น ต่างจากที่ส่งบอลให้แก่ คอนซ่า 10 ครั้ง, มาร์ติเนซ 7 ครั้ง ดั๊กลาส ลุยซ์ 4 ครั้ง และอีก 3 ครั้งให้ จอห์น แม็คกินน์ 

ตอร์เรส มีตัวเลขผ่านบอลให้เกมเจอ ลิเวอร์พูล เท่ากับที่ตอนปะทะ เบิร์นลี่ย์ 47 ครั้งก็จริง แต่เขากลับส่งสำเร็จเพียง 72.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น 

ส่วนตัวเลขที่ เทิร์ฟ มัวร์ กับ "เดอะ คลาเร็ตส์" แม่นยำถึง 93.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการจ่ายบอลไปข้างหน้าแทบจะไม่เห็นผลเลย

คล็อปป์ พูดเกี่ยวกับทีมโฉมใหม่ตอนหลังจบเกม เขาบอกถึงความจำเป็นเรื่องต้องให้เวลาลูกทีมปรับตัวให้เข้ากับบทบาทของตัวเอง

ซาดิโอ มาเน่ กับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เคยเป็นฟันเฟืองในการเพรสซิ่งอันยอดเยี่ยมของ ลิเวอร์พูล แต่ทั้งคู่ไม่ได้อยู่กับทีมแล้ว

การมี ดิอาซ, นูเนซ และ ซาลาห์ ยืนอยู่ในแดนหน้าทำให้ ลิเวอร์พูล มี 3 แนวรุกที่ว่องไว, สปีดต้นจัด และเป็น 3 แนวรุกที่มีความเร็วอันยอดเยี่ยมกับการช่วยเกมรับ

คล็อปป์ ชมลูกทีมที่มีความมุ่งมั่นสูง, เล่นกันเป็นระบบ และมีความเต็มใจที่จะเล่นเกมรับร่วมกัน

การกดดันคู่แข่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในวิธีการเล่นที่ฝึกสอนได้ยากที่สุด 

เพราะมันต้องใช้เวลา, ต้องลงรายละเอียดให้ดี และมีความซับซ้อน 

หลายฤดูกาลก่อน ลิเวอร์พูล ตั้งมาตรฐานการเล่นตอนที่ไม่ได้ครองบอลเอาไว้สูง แต่เป็นภาพที่หาดูได้ยากในระยะหลัง

ทว่าฟอร์มของพวกเขาในช่วงครึ่งแรกของเกมกับ วิลล่า เป็นตัวจุดประกายให้เห็นว่าพวกเขาสามารถกลับไปอยู่ในระดับนั้นอีกครั้ง

ลิเวอร์พูล อาจจะได้ว้าวุ่นกับตัวตนที่กลับมาของตัวเองแล้วก็ได้...

ภาพและข้อมูลจาก ดิ แอธเลติก

HOSSALONSO



ที่มาของภาพ : GETTY IMAGE
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport