วิเคราะห์ ไรอัน กราเฟนแบร์ก เหมาะสมกับ ลิเวอร์พูล ตรงบทบาทไหน?!

ถ้าไม่โหดร้ายต่อความรู้สึก เดอะ ค็อป จนเกินไป ไรอัน กราเฟนแบร์ก จะเข้ามาเป็นกองกลาง ลิเวอร์พูล หน้าใหม่คนที่ 4 ในช่วงตลาดซัมเมอร์ 2023

ด้วยความที่ ลิเวอร์พูล ต้องการมิดฟิลด์แบบอเนกประสงค์ จึงทำให้ กราเฟนแบร์ก คือตัวเลือกที่เหมาะสม รวมถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ทั้งเรื่อง อายุ, มีความสามารถรอบด้าน, มีศักยภาพสูง, ผ่านประสบการณ์ทีมชุดใหญ่กับ อาแจ็กซ์ กับ บาเยิร์น มิวนิค มาแล้ว 137 นัดในวัย 21 ปี

ที่ถิ่น "เสือใต้" แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับโอกาสลงเล่นมากนัก แต่บรรดาเพื่อน ๆ ที่นั่นต่างชื่นชมผลงานของเขาในตอนฝึกซ้อม 

จริง ๆ บาเยิร์น เองก็ยังเชื่อว่า กราเฟนแบร์ก ควรได้รับโอกาสพัฒนามากกว่านี้ เพียงแต่ว่า โธมัส ทูเคิ่ล เทรนเนอร์ประจำทีมเป็นคนอนุมัติปล่อยตัว

ซึ่งนั่นคือการเปิดประตูสู่ ลิเวอร์พูล ของ ไรอัน กราเฟนแบร์ก

ลิเวอร์พูล ให้ความสนใจนักเตะรายนี้มานาน พวกเขาตามติด กราเฟนแบร์ก ตั้งแต่ก่อนย้ายไป "เสือใต้" 

และหลังจากเดินเกมพลาดในดีล มอยเซส ไกเซโด้ กับ โรเมโอ ลาเวีย ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องปรับทางเลือกของพวกเขาใหม่

วาตารุ เอ็นโด เข้ามาก่อนหน้า แน่นอนว่า แข้งเลือดบูชิโดเข้ามาเพื่อเป็นผู้เล่นหมายเลข 6 

แล้ว กราเฟนแบร์ก ล่ะ จะเข้ามารับบทบาทอะไรให้กับ ลิเวอร์พูล?!

อย่างที่บอกไปว่าการลงเล่นศึกบุนเดสลีกาของแข้งดัตช์ มีน้อยมาก เลยยากต่อการสรุปว่าเขาสอบผ่านไหมที่ลีกเยอรมนี

แต่ถ้าย้อนไปฤดูกาล 2021/22 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายกับ อาแจ็กซ์ ผลงานของ กราเฟนแบร์ก นั้น ก็โน้มน้าวให้ บาเยิร์น กระชากตัวไปครอง

กราเฟนแบร์ก มีความสามารถรอบด้านเล่นทั้งตำแหน่งหมายเลข 6 และหมายเลข 8 ในตอนสวมสีเสื้ออาแจ็กซ์ 

โดยส่วนใหญ่เขาจะยืนกองกลางฝั่งซ้ายในบทบาทกองกลางแบบ Double Pivot (มิดฟิลด์ตัวรับคู่)

อย่างไรก็ตาม กราเฟนแบร์ก ยังยืนเป็นมิดฟิลด์ฝั่งซ้ายในรูปแบบกองกลาง 3 คนได้แบบสบาย ๆ ซึ่งทำให้เขาสามารถเติมเกมขึ้นสูงได้มากขึ้น

ในระบบ 3-box-3 ของ ลิเวอร์พูล ผู้เล่นหมายเลข 6 จะปักหลักตรงฝั่งซ้าย อีกฝั่งมี เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ขยับจากแบ็กขวาขึ้นมาเป็นอินเวอร์ท ฟูลแบ็กยามเวลาที่ทีมเป็นฝ่ายครองบอล

แต่เมื่อไม่ได้ครองบอล ลิเวอร์พูล จะกลับสู่ 4-3-3 กราเฟนแบร์ก อาจจะต้องมีการฝึกกันบ้าง ถ้าหากจะให้รับบทแบบนักเตะหมายเลข 6 คนเดียวในแผงกลางของระบบการเล่นของ ลิเวอร์พูล

คำถามคือเขาเป็นนักเตะประเภทไหน ?

จากข้อมูลของ Smarterscout ซึ่งให้คะแนนผู้เล่นในด้านต่าง ๆ จาก 0-99 

เป็นการเปรียบเทียบนักเตะคนใดคนหนึ่งกับคนอื่น ๆ ในตำแหน่งเดียวกัน (อย่างเช่นการเก็บบอลมาครองและการตัดบอล) รวมถึงเรื่องที่ว่าพวกเขาทำผลงานในด้านนั้น ๆ ได้ดีแค่ไหน (เรื่องที่ว่าพวกเขาพาบอลขึ้นหน้าได้ดีเพียงใด)

หนึ่งในคุณลักษณะอันโดดเด่นของ กราเฟนแบร์ก คือความสามารถในการครองบอลเพื่อขึ้นเกมไปยังแดนหน้า (92/99)

ฤดูกาล 2021/22 เขาเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งสำเร็จ 3.9 ครั้งต่อ 90 นาที ติดเป็นกองกลางอันดับ 5 ของลีกสูงสุดเนเธอร์แลนด์

ด้วยการมีควาสูงถึง 190 เซนติเมตร การก้าวแต่ละก้าวทำให้ได้เปรียบฝั่งตรงข้าม ซึ่งอีกตัวเลขที่โดดเด่นคือการแย่งบอลกลับมาให้ทีมได้ครองบอล (73/99)

กราเฟนแบร์ก สามารถดึงผู้เล่นแล้วเล่นงานด้วยการพาบอลขึ้นไปเอง

ตัวอย่างนี้เกิดขึ้น ตอนที่ บาเยิร์น เยือน ไฟร์บวร์ก เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว 

ตอนแรกเขาจัดการได้หนึ่งคน แล้วถัดมาก็เล่นงานอีกคน ซึ่งมันทำให้พื้นที่เปิด แล้วเขาก็ผ่านบอลออกไปเพื่อสร้างเกมบุกให้กับทีม

การเล่นลักษณะนี้เป็นคุณลักษณะเด่นที่เป็นประโยชน์ต่อ ลิเวอร์พูล ยามที่ต้องเจอกับคู่แข่งที่ขึงเกมรับแน่น 

ไม่เพียงแค่ว่า กราเฟนแบร์ก ช่วยให้ทีมขึ้นเกมไปยังแดนหน้าได้แล้ว แต่เขายังสามารถช่วยได้ทั้งในและรอบ ๆ พื้นที่กรอบเขตโทษอีกด้วย

ตัวอย่างนี้ เป็นเกมที่ บาเยิร์น เอาชนะ เอาก์สบวร์ก เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เอง

กราเฟนแบร์ก เปลี่ยนตัวลงมาตอนนาที 81 เขาเป็นคนแรกที่เข้าถึงบอลในตอนที่ไม่มีใครครองบอล 

แล้วท่ามกลางผู้เล่นเอาก์สบวร์ก เขาหนีการสกัด 2 จังหวะได้ยอดเยี่ยมก่อนที่จะส่งบอลไปยังเท้าของ แฮร์รี่ เคน ซึ่งหลังจากนั้นดาวเตะทีมชาติอังกฤษก็พลิกตัว และหาโอกาสยิงได้

ในเกมกับ คัมบูร์ ที่ อาเจ็กซ์ เจอเมื่อเดือนกันยายน 2021 กราเฟนแบร์ก รับบอลโดยที่ยังหันหลังให้ประตูแล้วพลิกตัวหนีตัวประกบเข้ามาในกรอบเขตโทษแม้พื้นที่ตรงนั้นแคบมากก็ตาม 

ต่อจากนั้นเขาตบกลับให้เพื่อนร่วมทีมได้โอกาสยิง แต่ไปติดเซฟผู้รักษาประตู

ในเกมปรี-ซีซั่นที่ สิงคโปร์ ลิเวอร์พูล ได้สัมผัสถึงความสามารถ กราเฟนแบร์ก มาบ้างแล้ว 

การดวลกับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ในชอตนี้นั้น กราเฟนแบร์ก ได้บอลมาครองและหมุนตัวกลับหลัง

พอทาง เอลเลียตต์ เข้ามากดดัน เขาก็ขยับตัวเป็นการหลอกดาวเตะ ลิเวอร์พูล ก่อนจะผ่านบอลไปยังที่ว่างที่อยู่ด้านหน้าเขา

ก่อนที่จะทำให้เพื่อนร่วมทีมของเขาได้เล่นแบบโล่ง ๆ

กราเฟนแบร์ก มีความเฉลียว และตื่นตัวในการเคลื่อนที่เพื่อการครอบครองบอล อีกทั้งยังมีการผ่านบอลยาวที่ถือว่าใช้ได้ เมื่อผสานเข้ากับทุกอย่าง เขาจึงสามารถเอาตัวรอดได้ดีเมื่อได้บอลภายใต้ความกดดัน

เขาไม่ได้เป็นคนที่ผ่านบอลไปด้านหน้าในระยะ 10 เมตรขึ้นไป หรือที่นักสถิติชอบเรียกกันว่า การผ่านบอลไปด้านหน้าแบบไกล ๆ มากนัก (18/99) 

โดยเขาชอบผ่านบอลแบบง่าย ๆ เป็นระยะทางสั้น ๆ เพื่อทำให้เกมมันเดินหน้าต่อไปอย่างราบรื่นมากกว่า (76/99)

มันคล้ายกับวิธีที่ ฟาบินโญ่ ใช้ แม้ว่าเขาจะเลี้ยงบอลน้อยกว่า กราเฟนแบร์ก ก็ตาม

ที่ อาแจ็กซ์ ดาวเตะดัตช์ มี 16 เปอร์เซ็นต์ที่การผ่านบอลของเขาเป็นการผ่านบอลไปด้านหน้าแบบไกล ๆ ซึ่งนั่นทำให้เขาเป็นมิดฟิลด์อันดับต้น ๆ ที่ทำอย่างนั้นได้มากที่สุดในลีกของเนเธอร์แลนด์

ลิเวอร์พูล ไม่ได้ต้องการให้นักเตะหมายเลข 6 สร้างสรรค์เกม แต่จะเป็นคนที่คอยอำนวยความสะดวกให้เกมบุกเดินหน้า 

แต่สำหรับ กราเฟนแบร์ก มีคุณสมบัติในการเล่นเกมรุกที่ทำให้เขาแตกต่างจาก ฟาบินโญ่

กราเฟนแบร์ก สามารถบุกเข้าไปถึงกรอบเขตโทษได้ (รับบอลในเขตโทษ : 82/99) และยังมีส่วนร่วมในการสร้างโอกาส (xG จากบอลไปข้างหน้าของเขาอยู่ที่ 51/99) แม้ว่ามันมาจากการเล่นในตำแหน่งเชิงบุกก็ตาม

อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ กราเฟนแบร์ก ไม่ได้โดดเด่นคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเกมรับ...

เมื่อต้องเล่นเป็น มิดฟิลด์ตัวคู่ (Double Pivot) กับ เอ็ดสัน อัลวาเรซ ในระบบ 4-2-3-1 ในนาม อาแจ็กซ์ 

ส่วนใหญ่ อัลวาเรซ ซึ่งเพิ่งย้ายมาอยู่ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จะทำหน้าที่คอยสกรีนก่อนถึงแนวรับ ขณะที่ กราเฟนแบร์ก มีอิสระในการขึ้นเกม

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า กราเฟนแบร์ก จะไม่สามารถเป็นนักเตะแบบนั้นได้ 

ด้วยความที่เขายังมีอายุน้อย เขายังสามารถถูกฝึกสอนให้เป็นนักเตะที่เข้ากับแผนของ ลิเวอร์พูล ได้ 

สถิติของเขาใน Smarterscout สื่อให้เห็นว่าถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนที่เล่นเกมรับได้ดีก็จริง แต่เขาก็สามารถทำผลงานในเกมรับได้น่าพอใจในระดับหนึ่ง

อัตราการเล่นเกมรับของเขาอยู่ที่ 77/99 แสดงให้เห็นว่าเขามีความสามารถในการหยุดคู่แข่งในจากจังหวะการขึ้นบอลจนเสียบอลในตอนที่ กราเฟนแบร์ก ต้องมาเล่นเกมรับ

เมื่อฤดูกาลก่อนตัวเลขในด้านเดียวกันนี้ของ ฟาบินโญ่ คือ 79/99 ซึ่งใกล้เคียงกับ กราเฟนแบร์ก มาก

ถึงกระนั้น ฟาบินโญ่ มีตัวเลขที่มากกว่าในเรื่องการขัดขวางการเคลื่อนที่ของคู่แข่ง (87/99) โดยแยกเป็นหมวดย่อย ๆ คือ เข้าปะทะ, ฟาวล์, บล็อค และเคลียร์บอลต่อนาทีตอนไม่ได้ครองบอล

และเมื่อเปรียบเทียบกันนั้น กราเฟนแบร์ก ได้สูงกว่าเกณฑ์เล็กน้อยคือ 53/99

สัญชาตญาณการทำให้เกมขึ้นไปด้านหน้าของ กราเฟนแบร์ก นั้นหมายความว่าเมื่อแย่งบอลมาครองได้ เขาก็จะพยายามทำให้ทีมดันขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างนี้มาจากฤดูกาลที่แล้วกับ สตุ๊ดการ์ท โดย กราเฟนแบร์ก อ่านเกมแล้วตัดบอลจากการจ่ายบอลของคู่แข่ง

แล้วจากนั้นก็นำบอลกลับมาครอบครองด้วยการส่งบอลเข้าในให้เพื่อนร่วมทีมเพื่อสร้างเกมบุกต่อไป

ในเกมเอาชนะ วิคตอเรีย พัลเซ่น 5-0 บนศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีก่อน กราเฟนแบร์ก แย่งบอลคืนมาจากการวิ่งไล่กวด แล้วต่อเนื่องด้วยพาตัวเองข้ามไปยังแดนคู่แข่ง พอมองเห็นพื้นที่ว่างก็ผ่านบอลให้เพื่อน

กราเฟนแบร์ก มีความปราดเปรียวและรวดเร็วอย่างมาก ซึ่งทำให้เขาสามารถไล่กดดันคู่แข่งได้ดีเช่นกัน 

นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อสไตล์การเล่นของ ลิเวอร์พูล ที่ชอบไล่บีบคู่แข่งแบบดุเดือด 

อย่างไรก็ตาม เขาก็อาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวสักหน่อยเพื่อที่จะทำผลงานให้ออกมาดีแบบคงเส้นคงวามากขึ้น

การที่ กราเฟนแบร์ก มีฤดูกาลที่น่าผิดหวังใน เยอรมนี หมายความว่า ลิเวอร์พูล กำลังจะได้นักเตะที่มีความกระตือรือร้นสูงที่จะเป็นตัวจริงให้ได้ในทันที 

เขาอาจจะเข้ามาแย่งตำแหน่งเบอร์ 6 กับ เอ็นโด หรือขึ้นไปเป็นกองกลางตัวรุกเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเขาปรับตัวได้เร็วแค่ไหน และเข้ากับแท็กติกของ คล็อปป์ ได้ไวเพียงใด

เดิมที ลิเวอร์พูล มีตัวเลือกในแผงกลางที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ถ้าพวกเขาได้ กราเฟนแบร์ก เข้ามาเพิ่มแล้วล่ะก็ คล็อปป์ จะมีแดนกลางที่แน่นขึ้นไปอีก

เหล่ากองกลาง ลิเวอร์พูล มีความสามารถโดดเด่น จะทำให้ คล็อปป์ จัดแนวทางได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับว่าจะต้องเจอกับทีมไหน

เรียบเรียงข้อมูลจาก ดิ แอธเลติก

HOSSALONSO


ที่มาของภาพ : GETTY IMAGE
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport