90 นาทีของเกมที่แอนฟิลด์

สำหรับอาร์เซน่อล คงไม่มีโอกาสไหนที่จะลบฝันร้ายในการมาเยือนแอนฟิลด์ได้ดีไปกว่าเกมนี้อีกแล้ว

เรื่องบางเรื่องก็หาเหตุผลชัดเจนไม่ได้ นอกจากผลงานในสนามแล้วมันอาจเป็นเพราะบรรยากาศและอารมณ์ร่วมอันเข้มข้นที่นั่นที่ทำให้พวกเขายังปีนข้ามไปไม่ได้ ไปเยือน 6 ครั้งหลังสุดในลีกจึงไม่มีอะไรติดมือกลับออกมาได้เลย

แพ้ 1-3 แพ้ 0-4 แพ้ 1-5 แพ้ 1-3 แพ้ 1-3 แพ้ 0-4 คือผลลัพธ์ใน 6 ครั้งนั้น หนล่าสุดที่เก็บคะแนนออกมาได้เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม ปี 2016 กำลังจะกำชัยเหนือทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมคนใหม่ของหงส์แดงได้อยู่แล้วตอนที่ โจ อัลเลน ซัดตีเสมอ 3-3 นาที 90

7 ปีแล้วจากการได้แต้มครั้งล่าสุดที่นั่น.. 11 ปีเข้าไปแล้วจากการเก็บชัยชนะหนล่าสุดออกมาจากแอนฟิลด์ มันเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี 2012 ลูคัส โพดอลสกี้ กับ ซานติ กาซอร์ล่า ทำคนละประตูให้ทีมชนะ 2-0

แต่ตลอด 11 ปีที่ผ่านมาของการรอคอย อาร์เซน่อลก็ไม่เคยมีภาพอย่างวันนี้เหมือนกัน วันนี้พวกเขามีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับการเป็นทีมที่จะประสบความสำเร็จ คุณภาพเกม คุณภาพโค้ช หัวจิตหัวใจ ทัศนคติ ความเชื่อมั่น ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แรงปรารถนาที่จะเป็นแชมป์ และแคแร็กเตอร์ที่ชัดเจน

มีความห้าว ความสด ความไม่กลัว

มันจึงไม่มีโอกาสไหนเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว ลิเวอร์พูลจะอยู่ในสภาพไหนไม่ต้องสนใจหรอกเพราะกำแพงใหญ่สำหรับพวกเขาในการมาเยือนคู่ปรับทีมนี้คือแอนฟิลด์ต่างหาก

แอนฟิลด์ก็ยังคงเป็นแอนฟิลด์วันยังค่ำ การเล่นที่นั่นเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเสมอมา และก็เป็นตัวของอาร์เซน่อลเองที่ต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าวันนี้พวกเขาสามารถข้ามพ้นมันได้

ลองนึกถึงคนที่เคยผ่านมันได้ดูสิ อาร์แซน เวนเกอร์ เธียร์รี่ อองรี เดนนิส เบิร์กแค้มป์ ปาทริก วิเอร่า โรแบร์ ปิแรส เฟรดริก ลุงเบิร์ก โซล แคมป์เบลล์ มันต้องเป็นบุคลิกที่กร้าวแกร่งทั้งฝีเท้าและหัวจิตหัวใจระดับนั้น

แน่นอนครับอาร์เซน่อลในเวลานี้คือทีมที่พร้อม แต่นี่คือเกมที่เหมาะมากจริงๆ ที่จะได้รู้ว่า ณ เวลาที่คิดว่าเราพร้อมแล้วนั้นเป็นความพร้อมระดับไหน มันไม่ใช่แค่ปัจจุบันแต่ยังบอกถึงอนาคตด้วย

คงจะมีแฟนบอลอาร์เซน่อลบางคนที่มั่นใจ และบางคนที่ไม่ค่อยมั่นใจ

กับลิเวอร์พูลเองก็เช่นกัน คงจะมีทั้งคนที่มั่นใจและไม่มั่นใจ..

การกลับมาเล่นในแอนฟิลด์เป็นเรื่องดีแน่ แต่ผลงานสองเกมใหญ่ล่าสุดที่ผ่านมาทั้งกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี รวมทั้งสถานการณ์ย่ำแย่ในภารกิจแย่งพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่ชวนให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเท่าไหร่ ประมาณว่ารอเรื่องตื่นเต้นที่หวังไว้ว่าจะเกิดขึ้นตอนซัมเมอร์ไปเลยทีเดียวก็แล้วกัน

กระนั้นขึ้นชื่อว่ารับมืออาร์เซน่อล มันก็เป็นเกมที่พลาดไม่ได้ ด้วยประวัติบอกว่าหวดกับทีมปืนใหญ่ทีไร แอนฟิลด์ได้เร่าร้อนทุกที

ยิ่งกับสถานะจ่าฝูงลุ้นแชมป์เต็มตัวด้วยฟุตบอลที่น่าชื่นชมด้วยแล้ว มันก็ยิ่งน่าสนุก เพราะในเวลาเดียวกับที่อาร์เซน่อลต้องใช้เกมนี้พิสูจน์ตัวเอง ลิเวอร์พูลก็มีอะไรต้องพิสูจน์ให้เห็นเหมือนกัน

พวกเขาแย่อย่างที่กำลังเป็นจริงหรือ

-------------------------

เงียบสงบ..

มันเป็นความเงียบสงบที่สวยงาม

ความเคารพที่แฟนบอลอาร์เซน่อลมอบให้เดอะค็อป 97 ชีวิตในการยืนสงบนิ่งรำลึกถึงพวกเขาที่จากไปจากโศกนาฏกรรมฮิลล์สโบโร่ ในแอนฟิลด์เมื่อคืนที่ผ่านมาคือความงดงามของเกมฟุตบอล

ผมอาจไม่ทันสังเกตก็ได้ แต่เหมือนจะไม่ได้เห็นการยืนสงบนิ่งไว้อาลัยก่อนเริ่มเกมผ่านไปอย่างราบเรียบ เงียบ นิ่ง สำรวมยาวนานโดยปราศจากเสียงก่อกวนไร้มารยาทของคนบางกลุ่มท่ามกลางแฟนบอลหลายหมื่นชีวิตในสนามฟุตบอลอย่างเมื่อคืนวันอาทิตย์เกิดขึ้นมานานแล้ว

ทั้งที่มันเป็นเรื่องพื้นฐานแท้ๆ เคารพซึ่งกันและกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

กี่ครั้งกันที่เราต้องถามตัวเองว่าการยืนไว้อาลัยครั้งนี้จะมีเสียงก่อกวนแรกเกิดขึ้นตอนไหน กี่ครั้งกันที่เราต้องทนหงุดหงิดกับการไร้มารยาทเหล่านั้นเช่นเดียวกับเสียง ชู่ว์ว์ว์ ที่ขอให้คนเหล่านั้นช่วยเงียบหน่อยเถิดจากแฟนบอลอีกหลายคนในสนาม กี่ครั้งกันที่เราจะรู้เลยว่าอีกไม่กี่อึดใจกรรมการก็จะเป่านกหวีดยุติการยืนสงบนิ่งนั้นอย่างรวดเร็ว

ผมยินดีอย่างยิ่งที่เดอะกูนเนอร์สทุกชีวิตในแอนฟิลด์ทำให้เราเห็นว่ามันยังมีอยู่

การยืนสงบนิ่งรำลึกถึงโศกนาฏกรรมฮิลล์สโบโร่เมื่อคืนที่ผ่านมาคือ One Minute Silence ที่งดงาม เปี่ยมด้วยคุณค่า

นับจากเสียงนกหวีดให้สัญญาณเริ่มต้นไว้อาลัยของ พอล เทียร์นี่ย์ จนถึงเสียงนกหวีดสิ้นสุด กินเวลา 53 วินาที

เป็น 53 วินาทีที่เงียบ.. ไม่มีเสียงก่อกวนใดๆ เลย

ด้วยภาพที่มองเห็น ถ้าเทียร์นี่ย์จะยืดเวลาออกไปอีกจนครบหนึ่งนาทีเต็มๆ ผมก็มั่นใจว่าจะยังคงไม่มีเสียงรบกวนใดๆ เล็ดลอดออกมา

ผมเชื่อว่าเดอะค็อปทุกคนกล่าวขอบคุณเพื่อนกันเนอร์สอยู่ในใจ

-------------------------

90 นาทีของเกมที่แอนฟิลด์บอกกับเราว่าอาร์เซน่อลเติบโตขึ้นและลิเวอร์พูลเองก็ไม่ได้แย่อย่างที่กำลังเป็น เพียงแต่ภาพที่เห็นมันยังครึ่งๆ กลางๆ

ครึ่งแรกเป็นของอาร์เซน่อลที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่มาเยือนแอนฟิลด์ พวกเขาไม่กลัวและพร้อมควักชัยชนะกลับไปด้วยฟุตบอลในแบบของตัวเอง

แต่ครึ่งหลังเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์บีบคั้นจากทั้งเสียงเชียร์ในสนามและการไล่ล่าอย่างบ้าเลือดของนักเตะหงส์แดง จ่าฝูงก็ต้องกางตำรารับพัลวัน ถูกกดให้ต้องตั้งรับ เวลาแต่ละวินาทีผ่านไปอย่างทรมาน

เป็นเกมของสองครึ่งเวลาอีกครั้ง โดยมีจุดพลิกผันด้วยกันทั้งสองฝ่าย

ผมเห็นด้วยกับมุมมองของหลายคนเกี่ยวกับการจุดระเบิดให้แอนฟิลด์โดยไม่ได้ตั้งใจของ กรานิต ชาก้า

แอนฟิลด์รวมทั้งสนามฟุตบอลอื่นๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ บางทีทุกคนก็พร้อมจะระเบิดตัวเองขึ้นมาจนคลื่นลมที่เงียบสงบอยู่ดีๆ กลายเป็นพายุบ้าคลั่ง

ก่อนการปะทะกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อาร์เซน่อลของชาก้าคุมสถานการณ์ทุกอย่างเอาไว้ได้ แนวรับจัดการเกมบุกของเจ้าถิ่นจนแทบไม่เห็นการประสานงานของสามตัวหน้า แดนกลางครองบอลได้ แย่งบอลได้ ต่อบอลแจกจ่ายให้แนวรุกที่เคลื่อนที่กระฉับกระเฉงได้หาโอกาสทำประตู

ปราศจากแรงกดดันใดๆ อารมณ์ในสนามคล้ายซึมเซา ปลุกกระตุ้นไม่ไหว

ถ้าปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ อาร์เซน่อลไม่เสียหายอะไรเพราะนำห่างอยู่ 2 ประตู

แต่เมื่อความร้อนระอุเกิดขึ้น เราก็สัมผัสได้เลยถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปในทันที เมื่อทุกคนคล้ายถูกปลุกขึ้นมากะทันหัน

และเมื่อแอนฟิลด์ตื่น.. คุณก็เตรียมพบกับการเขย่าขวัญครั้งใหญ่ได้เลย

ประกอบกับจังหวะที่เหมาะเจาะเหลือเกิน หลังเหตุการณ์นั้นแค่อึดใจ ลิเวอร์พูลก็เดินเครื่องขึ้นหน้าแล้วตีไข่แตกเป็น 1-2 ได้สำเร็จ

นั่นยิ่งไม่ใช่ผลดีสำหรับอาร์เซน่อล เพราะเหมือนน้ำมันถูกรดลงไปในกองเพลิง

อาร์เซน่อลเล่นได้ดี รักษาสมาธิในความเป็นฟุตบอลของตัวเองไม่มีหลุด แต่จุดเปลี่ยนนั้นทำให้งานของพวกเขายากขึ้น และย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะควบคุมสติและสมาธิให้ได้ตลอดรอดฝั่ง

ครึ่งหลังยิ่งเห็นชัด เมื่อลิเวอร์พูลปูพรมเข้าใส่ตั้งแต่เปิดฉาก กลายเป็นอาร์เซน่อลถูกกดให้ตั้งรับอย่างเดียว การได้บุกเข้าหาอัฒจันทร์ฝั่งเดอะค็อปในครึ่งหลังคือพลังแฝงที่สำแดงฤทธิ์ของมันมาแล้วนักต่อนัก

กับจุดพลิกผันของลิเวอร์พูล มันอาจไม่ได้ส่งผลชัดเจนต่อรูปเกมอย่างของอาร์เซน่อล แต่ก็น่าคิดว่าผลการแข่งขันมีโอกาสเปลี่ยนไปมากกว่านี้ไหมถ้าหาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ สังหารจุดโทษลูกนั้นไม่พลาด

แน่นอนครับมันไม่คำตอบให้กับเราหรอก สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่ความสงสัยว่ามันน่าจะเป็นอย่างไร

จุดโทษลูกนั้นเกิดขึ้นในนาทีที่ 54 ถ้าซาลาห์ยิงเข้า สกอร์จะกลับมาเสมอกัน 2-2 โดยที่ 9 นาทีก่อนหน้านั้นนับตั้งแต่เสียงนกหวีดเริ่มครึ่งหลังดังขึ้น อาร์เซน่อลต้องตั้งการ์ดรับอยู่ข้างเดียวจากการโหมบุกทุกทิศทางของลิเวอร์พูล

เมื่อยิงไม่เข้า ลิเวอร์พูลก็ต้องโหมลุยต่อเพื่อเอาประตูตีเสมอให้ได้ นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงซึ่งหลังจากความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าพวกเขาก็ตีเสมอได้ในที่สุดก่อนหมดเวลา 3 นาที

ช่วงหลังจากนั้นหงส์แดงก็ยังลุยแหลกตามเสียงเชียร์ พวกเขาไม่เอาแค่ผลเสมอแล้ว แม้จะเสี่ยงต่อการถูกโต้กลับจากอาร์เซน่อลก็ตาม แต่โมเมนตัมเป็นของพวกเขาและลิเวอร์พูลไม่ยอมทิ้งมันไป

การป้องกันประตูอย่างใจหายใจคว่ำทั้ง 2 ครั้งของ แอรอน แรมส์เดล เกิดขึ้นในช่วงเวลาบีบหัวใจนั้น

คำถามก็คือถ้าประตูตีเสมอเกิดขึ้นตั้งแต่จุดโทษลูกนั้น ลิเวอร์พูลจะมีเวลามากถึง 36 นาทีแทนที่จะเป็น 3 นาทีในการบดขยี้เพื่อเอาประตูแซงนำ

แน่นอนครับ เรามองอย่างนั้นได้ แต่จะเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นแน่ๆ คงไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น

หากจุดโทษลูกนั้นเข้าไป ลิเวอร์พูลตีเสมอเป็น 2-2 พวกเขาอาจจะบุกจนยิงได้อีกพลิกกลับมาชนะ 3-2, 4-2 ก็ได้ หรือปูพรมบุกแล้วโดนโต้กลับเสียประตูที่ 3 ก็ได้อย่างที่อาร์เซน่อลมีโอกาสเหมือนกันในเกมนี้ หรือลิเวอร์พูลอาจจะยิงนำแล้วหันไปเล่นแบบรัดกุมเน้นผลจนเปิดโอกาสให้ทีมปืนใหญ่กลับมาตีเสมอ 3-3 หรือแซงนำ 4-3 ก็ได้

มันก็เป็นไปได้ทั้งหมด เพียงแต่สำหรับเดอะค็อปแล้วคงมั่นใจอยู่ลึกๆ ว่าหากซาลาห์ยิงจุดโทษเข้าไป ทีมมีลุ้นจบเกมด้วยการเป็นผู้ชนะได้เลยเพราะบรรยากาศทุกอย่างปูทางให้แล้ว และเมื่อมันไม่เกิดขึ้นก็พอจะพูดได้ว่าเป็นจุดพลิกผันได้เหมือนกัน

สุดท้ายแล้วสำหรับแฟนบอลของทั้งสองทีม มันมีทั้งเรื่องที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจซึ่งเป็นโจทย์ที่ทั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ มิเกล อาร์เตต้า และลูกทีมของพวกเขาต้องพยายามปรับแก้กันต่อไป

ทีมปืนใหญ่ก็ยังมีคำถามคาใจกลับจากแอนฟิลด์ต่อไปอีกปี ครั้งนี้พวกเขาทำได้ดีขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังไม่พอที่จะเป็นผู้ชนะ และต้องรอฤดูกาลหน้ากลับมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง

ส่วนลิเวอร์พูล เราได้เห็นอะไรบางอย่างในวิธีการเล่น การใช้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เข้ามามีบทบาทเป็นกองกลางขณะที่ทีมได้ครองบอลอาจเป็นสัญญาณบอกว่าคล็อปป์อาจจะทดลองใช้เขาเล่นแบบนั้นอีกในฤดูกาลที่เหลืออยู่

จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ครั้งแรกที่คล็อปป์ให้เทรนต์เล่นอย่างนี้ มีบางเกมเหมือนกันที่เขาขยับจากแบ๊กขวามาเล่นตรงกลางระหว่างการครองบอล เพียงแต่มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีบทวิเคราะห์หนึ่งจาก ทอม บีตตี้ นักเขียน liverpool.com ถึงเรื่องการทดลองในเทรนต์เป็นกองกลางว่าการเล่นได้ดีของ โจ โกเมซ ในตำแหน่งแบ๊กขวาเกมเสมอเชลซีที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ประกอบกับสถานการณ์ในลีกที่ลุ้นตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีกยากมากแล้ว ทำให้มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่คล็อปป์อาจทดลองใช้เทรนต์เป็นกองกลางไปเลยในบางเกมที่เหลืออยู่ของซีซั่นนี้

กองกลางในแบบที่เป็นกองกลางจริงๆ ไม่ต้องรับผิดชอบตำแหน่งแบ๊กขวาที่จะใช้โกเมซเล่น

แฟนบอลหลายคนอยากเห็นและพูดกันมานาน ผมเชื่อว่าคล็อปป์น่าจะเคยทดลองใช้เขาเล่นกองกลางมาแล้วในสนามซ้อมแต่ยังเห็นว่าเสี่ยงเกินไปที่จะเล่นในสนามจริง ไม่รู้เหมือนกันว่าใน 9 เกมที่เหลืออยู่จะมีโอกาสได้เห็นอย่างที่บีตตี้วิเคราะห์ไว้ไหม

ผมคิดว่าคงไม่.. แต่ก็นั่นแหละครับ ในใจคล็อปป์จะคิดอะไรอยู่เราไม่อาจล่วงรู้ได้ ไว้มีโอกาสเราคงได้คุยถึงเรื่องนี้กันอีกที

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport