เมอร์ซี่ย์ไซด์ระอุแน่! เอฟเวอร์ตันจิ้ม ฌอน ไดช์ ที่ตอบโจทย์มากกว่า บิเอลซ่า

ว่ากันตามความรู้สึกแล้ว การเลือก ฌอน ไดช์ อาจไม่ชวนให้รู้สึกน่าหลงใหลเท่า มาร์เซโล่ บิเอลซ่า..

แฟนบอลเอฟเวอร์ตันบางคนอาจจะคิดอย่างนั้น ก็ลองดูจากทีมที่ทั้ง 2 คนเคยฝากผลงานเอาไว้ก็ได้ครับ ไดช์เน้นเกมรับที่เบิร์นลี่ย์ ประคองทีมให้เอาตัวรอดในพรีเมียร์ลีก ส่วนบิเอลซ่าใส่บอลบุกแหลกเข้าไปที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด พาทีมยูงทองเลื่อนชั้นจากแชมเปี้ยนชิพมาอาละวาดในลีกสูงสุดได้สำเร็จ

กระทั่งอยู่ท่ามกลางดงเสือสิงห์กระทิงแรดบิเอลซ่าก็ยังไม่เปลี่ยนสไตล์ของลีดส์ เกมรุกดูสนุกแต่เกมรับถูกเล่นงานทุกนัด แลกกันไปแลกกันมาสุดท้ายต้านแรงเสียดทานไม่ไหวก็ต้องเป็นฝ่ายไปจากตำแหน่ง

แต่กระนั้น บิเอลซ่า ก็จากไปโดยที่ฝากรอยประทับเอาไว้ที่ เอลแลนด์ โร้ด ตลอดกาล เขาจะไม่มีวันถูกเกลียดที่นั่น

แนวทางการทำงานของบิเอลซ่านั้นกระทบใจแฟนบอล โดยพื้นฐานแล้วแฟนบอลทุกทีมมีศักดิ์ศรีและต้องการเห็นทีมรักเล่นด้วยศักดิ์ศรี ซึ่งสำหรับเกมลูกหนังแล้ววิธีการเล่นที่ไม่เปลี่ยนตัวเองก็อาจจะถือเป็นศักดิ์ศรีแบบหนึ่ง

รู้ว่าสู้แล้วอาจตายแต่กูก็จะยืนหยัดสู้อย่างนั้น เอาดาบไปแลกกับปืน เอาระเบิดน้อยหน่าไปแลกกับระเบิดปรมาณู อานุภาพทำลายล้างมันแตกต่างกัน

บางคนอาจจะหัวเราะเยาะว่าโง่หรือคิดได้ยังไง แต่ก็นั่นล่ะครับ เรื่องศักดิ์ศรีบางทีมันก็แปลก รู้ทั้งรู้ว่าเสี่ยงแต่ถ้าให้ต้องเปลี่ยนตัวเองจากที่เคยเปิดเกมรุกมาเป็นหดหัวอยู่ในกระดองสู้ยอมไม่มีแต้มดีกว่า

เพราะเอาเข้าจริงแล้วแนวทางการเล่นเกมรุกของบิเอลซ่าก็ใช่ว่าจะงี่เง่าหรือไม่ได้ผลเสมอไป พวกเขาอาจจะแพ้ในเกมที่เจอทีมใหญ่กว่าแต่แมตช์อื่นๆ ทีมยูงทองสู้ได้ดี มีผลแพ้บ้างชนะบ้างคละเคล้า มันก็ไม่ได้แย่เกินไปเสียทีเดียว

ผมเชื่อว่ากระทั่งแฟนบอลทีมอื่นก็ยังอยากจะปรบมือให้บิเอลซ่าและความบ้าของเขา รวมทั้งยังเข้าใจดีถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เข้าใจผู้บริหารของลีดส์ว่าเพราะอะไรถึงต้องปลดกุนซือชาวอาร์เจนไตน์ มันอาจเป็นการแยกทางทั้งน้ำตา ไม่อยากทำอย่างนี้เลยแต่มันจำเป็นจริงๆ

แฟนบอลลีดส์ก็ยิ่งเข้าใจ และอย่างที่บอก สถานะของบิเอลซ่าจะไม่มีวันถูกกระทบที่นั่น

บางทีสิ่งที่ฝากไว้เมื่อจากนั่นแหละครับที่เป็นอมตะอย่างแท้จริง และนั่นคือภาพจำที่เรามีต่อบิเอลซ่าและฟุตบอลของเขา

เปรียบเทียบกันแล้วย่อมแตกต่างไปจาก ฌอน ไดช์

ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าอดีตนายใหญ่เบิร์นลี่ย์ไม่ดี ไม่เก่ง หรือไร้ความสามารถ ถ้าเขาไม่ดีจริงคงไม่พาทีมเล็กๆ อย่างเบิร์นลี่ย์อยู่รอดในเวทีระดับพรีเมียร์ลีกได้ถึง 6 ปีติดต่อกันหรอก ไม่เพียงเท่านั้นยังพาทีมตีตั๋วไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปได้ด้วยซ้ำ

สถานะของไดช์ก็คงจะไม่ถูกแตะต้องเช่นกันที่ เทิร์ฟ มัวร์ เพียงแต่เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง เขาก็ต้องเป็นฝ่ายไป

กับข้อจำกัดมากมายในการทำงานที่สโมสรเล็กๆ อย่างเบิร์นลี่ย์ ผลงานของ ฌอน ไดช์ ถือว่าอยู่ในระดับมาสเตอร์พีซ เราจะพูดอย่างนั้นก็ได้ไม่ผิดเลย

ฟุตบอลของเขาถูกมองว่าเป็นฟุตบอลโบราณ เน้นความแข็งแรง เล่นบอลยาว ดุดัน หนักหน่วง มีปีกพลิ้วๆ ที่กระชากพาบอลขึ้นไปทางริมเส้นแล้วเปิดให้กองหน้าคู่ตัวสูงใหญ่คอยจัดการในเขตโทษ

ดูง่ายๆ เชยๆ แต่ก็ได้ผล ทีมใหญ่เล่นสวยนักต่อนักแล้วที่เอาชื่อไปทิ้งที่เทิร์ฟ มัวร์ หรือกระทั่งโดนทีเด็ดของบอลโบราณอย่างเบิร์นลี่ย์ทำร้ายคาบ้านตัวเอง

จะให้ไดช์ทำทีมเล่นชั้นเชิงสวยงามบ้างได้ไหมตรงนี้คงจะตอบไม่ได้ แต่ผลลัพธ์ของฟุตบอลแบบเขาตอบโจทย์ไหมก็ต้องบอกว่าตอบโจทย์ชัดเจน เป้าหมายของทีมเป็นอย่างไรเขาสามารถเข็นไปให้ถึงได้ และบางครั้งยังทะลุไปได้ไกลกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ด้วยซ้ำ

ผู้จัดการทีมหลายคนถูกดูแคลนเรื่องสไตล์ฟุตบอลเพียงเพราะมันดูไม่ใหม่ ไม่ทันสมัย ตกยุค นั่นคงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถามว่ายุติธรรมกับพวกเขาไหมก็คงต้องดูบริบทอื่นประกอบด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายของสโมสรที่จ้างเขาเหล่านั้นมาทำงาน

ถ้าเขาทำได้ตามเป้าหรือดีกว่านั้นจะไปว่าเขาได้อย่างไรเพราะมันก็วิน-วินด้วยกันทุกฝ่าย สโมสรก็เลือกคนที่ถูกต้องเพราะทำทีมได้ตามเป้า ผู้จัดการทีมก็ปฏิบัติหน้าที่ได้ลุล่วงตามที่ได้รับมอบหมาย

มันมีอะไรน่าดูถูกเล่า อย่าลืมว่าคุณภาพของนักฟุตบอลที่อยู่ในมือของเขานั้นเป็นระดับไหนกันด้วย

ว่ากันในเชิงความรู้สึก เอาแค่ผิวเผินที่สุด ฌอน ไดช์ กับ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า ชวนให้รู้สึกยอมรับแตกต่างกัน

ไม่แปลกที่จะมีการตั้งคำถามจากแฟนบอลเอฟเวอร์ตันบางกลุ่มว่าฝ่ายบริหารได้คิดถึงอนาคตของสโมสรบ้างไหมกับการเลือกผู้จัดการทีมอย่างไดช์

ได้คิดถึงอนาคตของสโมสรบ้างหรือเปล่าที่ปฏิเสธเงื่อนไขของบิเอลซ่าที่มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากๆ ขอวางรากฐานอยู่เบื้องหลังก่อนในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังนี้ ระหว่างนั้นทีมชุดใหญ่ให้เป็นหน้าที่ของกุนซือรักษาการไปพลางๆ ก่อนแล้วเมื่อจบฤดูกาล 2022/23 เมื่อไหร่เราจะเริ่มลุยผ่าตัดทีมกันในทันที

บิเอลซ่ามองว่าการคืนชีพเอฟเวอร์ตันต้องอาศัยเวลาและจำเป็นต้องลงลึกไปถึงระดับรากหญ้าของสโมสร ปลูกฝังทัศนคติในทุกๆ ฝ่าย เป็นการรดน้ำพรวนดิน ไม่ใช่ตัดแต่งกิ่งใบที่มองเห็นอย่างเดียว

เหตุผลของบิเอลซ่านั้นชัดเจนอยู่ในตัวและเข้าใจได้ไม่ยาก เอฟเวอร์ตันเวลานี้อ่อนปวกเปียกที่สุดในเชิงฟุตบอล เกมในสนามของพวกเขาเหยาะแหยะไม่มีตัวตน เกมรับช้า แดนกลางยวบ กองหน้าแย่ ที่สำคัญคือมองไม่เห็นเลยว่าฟุตบอลของทีมๆ นี้เป็นแบบไหน ไร้แนวทางที่เป็นเอกลักษณ์นอกจากความน่าเหนื่อยใจ

จะให้เขาเข้ามาแล้วเปลี่ยนสไตล์ของทีมได้ในทันทีนั้น บิเอลซ่ารู้ดีว่านอกจากเป็นเพียงความฉาบฉวยแล้ว มันยังเป็นไปไม่ได้ แต่ที่ยิ่งสำคัญไปกว่านั้นคือมันไม่มีความยั่งยืนเลยเพราะเขาต้องใช้ช่วงเวลาทั้งหมดไปกับทีมชุดใหญ่ ไม่มีโอกาสวางรากฐานหลังบ้านที่เป็นภารกิจสำคัญยิ่งกว่า

กุนซือระดับอาจารย์อย่างบิเอลซ่าก็คงมองงานที่เอฟเวอร์ตันในแบบนั้น น่าเสียดายที่มันไม่ตอบโจทย์ที่ทีมทอฟฟี่สีน้ำเงินกำลังต้องการในตอนนี้

เพราะเอฟเวอร์ตันไม่อาจเสี่ยงได้อีกแล้ว พวกเขารอไม่ได้แล้ว เดิมพันการอยู่รอดกับตกชั้นมันแตกต่างกันมหาศาลเกินไป และถ้าเอาตัวไม่รอดขึ้นมาจริงๆ คิดหรือว่าแผนงานของบิเอลซ่าจะดำเนินต่อไปได้ เงินลงทุนในสนามใหม่เท่าไหร่ จะรั้งนักเตะตัวหลักไว้ได้เท่าไหร่ จะมีเลือดไหลออกอีกเท่าไหร่

มันก็ไม่น่าแปลกที่เอฟเวอร์ตันจะเลือก ฌอน ไดช์ ที่โดยประวัติการทำงานและผลงานแล้วน่าเชื่อว่าจะตอบโจทย์อันเร่งด่วนนี้ได้ ส่วนเรื่องการวางรากฐานสู่อนาคตมันก็สามารถต่อยอดต่อไปได้ก็ได้ อย่าลืมว่าที่ผ่านมาไดช์เองก็ยังไม่เคยได้รับโอกาสคุมทีมที่มีศักยภาพมากไปกว่าเบิร์นลี่ย์เลยสักที

มีองค์ประกอบที่ดีขึ้นกว่าเบิร์นลี่ย์ บางทีไดช์อาจจะได้ปล่อยของที่เขามีออกมาได้มากขึ้นก็ได้ แม้จะน่าเสียดายความเป็น บิเอลซ่า ก็เถอะ

ผมอดนึกถึงกรณีของ แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ กับสเปอร์สไม่ได้ ตอนที่สเปอร์สตั้ง แฮร์รี่ คุมทัพแทน ฆวนเด้ รามอส เมื่อปี 2008 เร้ดแน็ปป์ผู้พ่อก็ถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นกุนซือยุคเก่าเหมือนกัน แต่ทีมไก่เดือยทองในยุคนั้นกลับเล่นฟุตบอลได้สนุกและมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง

อนาคตเป็นเรื่องที่เราไม่อาจรู้ได้ เอฟเวอร์ตันเลือกแล้วและเป็นการเลือกอย่างรอบคอบที่สุดตามเงื่อนไขที่กำลังเผชิญอยู่

มันแน่นอนอยู่แล้วครับว่าชื่อของบิเอลซ่าชวนให้วาบหวามมากกว่า ฌอน ไดช์ แต่กับเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดในเวลานี้คือการเอาตัวรอดจากการตกชั้นให้ได้ การเลือกไดช์มีความเสี่ยงน้อยกว่า

จะถูกใจหรือไม่ถูกใจก็ค่อยว่ากัน ตอนนี้ทุกคนกลับมาลงเรือลำเดียวกันอีกครั้ง ด้วยความหวังว่าสโมสรจะตัดสินใจถูกและได้คงสถานะทีมระดับลีกสูงสุดของประเทศต่อไปเป็นปีที่ 70

ทอฟฟี่สีน้ำเงินในมือไดช์เริ่มนับหนึ่งไปแล้วและก็ทำได้งดงามเสียด้วย

จากอาร์เซน่อลสู่ลิเวอร์พูล เมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้คืนพรุ่งนี้แอนฟิลด์คงร้อนระอุทีเดียวล่ะครับ

ตังกุย


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport