ลิเวอร์พูล ปะทะ เชลซี ชิงคาราบาว คัพ! 4 สิ่งที่ "หงส์แดง" ต้องทำเพื่อหักเขี้ยว "สิงห์บลูส์"

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ต้องเตรียมตัวทัพ "หงส์แดง" ให้พร้อมเต็มที่ในการดวลกับ เชลซี ศึกคาราบาว คัพ รอบชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ เพราะแมตช์นี้ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความผิดหวังเลยก็ว่าได้

ลิเวอร์พูล อยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์ 4 รายการในฤดูกาลนี้ โดยโทรฟี่แรกของพวกเขาจะเกิดขึ้นช่วงสุดสัปดาห์นี้ และการที่ต้องสู้กับ "สิงโตน้ำเงินคราม" บอกเลยว่าไม่ใช่งานง่ายอย่างที่หลายๆ คนคาดคิด เพราะผลงานของทั้งสองทีมดูแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

"หงส์แดง" สามารถกลับมาเรียกความมั่นใจได้อีกครั้งหลังแพ้ อาร์เซน่อล ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่ทีมของกุนซือเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ก็ค่อยๆ เริ่มพัฒนาฟอร์มการเล่นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดสามารถเสมอแบบน่าชนะในเกมปะทะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

แน่นอนว่าการที่ต้องสู้กับ เชลซี ซึ่งต้องการเรียกศรัทธา  และความเชื่อมั่นจากแฟนบอลของพวกเขากลับมา คงทำให้ "เดอะ เร้ดส์" เจองานสุดหิน และถ้า คล็อปป์ แอนด์ โค. อยากจะได้แชมป์รายการนี้พวกเขาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำ 4 สิ่งนี้เพื่อให้ทีมบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ 

 1. เฉียบคมกับทุกโอกาสที่มี

 ไม่มีใครปฏิเสธว่า ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่มีคุณภาพในเกมรุกอย่างมาก แม้ในช่วงที่พวกเขาขาด โมฮาเหม็ด ซาลาหื และ ดาร์วิน นูนเญซ ก็ตาม แต่ก็ยังสามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายคู่แข่งเป็นว่าเล่นในช่วงสามแมตช์ล่าสุดนี้

 "เดอะ เร้ดส์" เป็นทีมที่สร้างโอกาสในการทำประตูได้เยอะมากในทุกๆ แมตช์ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสเหล่านั้นให้เป็นประตูได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ยกตัวอย่างในเกมกับ ลูตัน ทาวนต์ พวกเขาได้ยิงไปถึง 29 ครั้ง แต่ตรงกรอบแค่ 13 ครั้งเท่านั้น พร้อมกับได้มาเพียง 4 ประตู

 หลายคนอาจมองว่าแบบนี้ยังไม่เฉียบคมเหรอ !? แต่เอาจริงๆ ลองดูในเกมลีกที่เสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขาสร้างโอกาสได้มากแต่ยิงเข้าเป้าไม่กี่ครั้งเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่เสียหายอย่างมาก หากเทียบกับการสร้างสรรค์เกม

 ยิ่งไปกว่านั้นการขาดความเฉียบคมเคยทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องน้ำตาตกมาแล้ว ที่เห็นได้ชัดก็คือเกมนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2021/2022 ที่ปะทะกับ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ซึ่งชนะด้วยสกอร์ 1-0 เท่านั้น และมีโอกาสยิงแค่ 3 ครั้งตลอดทั้งเกม 

 ขณะที่ "หงส์แดง" สร้างโอกาสในการยิงประตูได้มากถึง 23 ครั้งแต่ยิงตรงกรอบเพียง 9 ครั้งเท่านั้น และการที่ไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสมากมายให้เป็นประตูที่เหมาะสม มีสิทธิ์ที่จะสร้างความเสียหายให้กับ "เดอะ เร้ดส์" ได้เลยทีเดียว 

2. หยุด เอ็นโซ่ ไม่ให้ควบคุมแดนกลาง

 ย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2023 ทั้งสองทีมได้เจอกันในเกมพรีเมียร์ลีก ซึ่งบทสรุปจบลงที่เสมอกัน 1-1 โดยตอนนั้นหลายคนมองว่า ลิเวอร์พูล มีโอกาสที่จะคว้าชัยชนะมากกว่า  แต่ทุกอย่างที่สลายไปเพราะผลงานที่ยอดเยี่ยมของ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ 

 สตาร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า สามารถควบคุมทุกอย่างในแดนกลางได้หมด และสามารถบดบังรัศมีของแผงมิดฟิลด์ "เดอะ เร้ดส์" ได้แบบเรียบวุธ โดยแมตช์นั้น เฟร์นานเดซ ทำผลงานได้อย่างสุดยอด และสามารถคุมจังหวะ และเชื่อมเกมได้แดนกลางได้อย่างสุดยอดจริงๆ

 กระนั้นในแมตช์ที่โดน "หงส์แดง" ถลุง 4-1 เห็นได้ชัดว่า เฟร์นานเดซ เล่นไม่ออก และนั่นคือหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ทีมแพ้ยับแบบนั้นจากผลงานแบบนี้เป็นการยืนยันว่านักเตะยังไม่สามารถรักษามาตรฐานระดับสูงได้ทุกเกม แต่กระนั้นเขาก็มีส่วนนำต้นสังกัดทะลุเข้ารอบชิงถ้วยใบเล็กเมืองผู้ดีได้ในที่สุด 

 ดังนั้น คล็อปป์ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสั่งลูกทีมในการรับมือกับ เฟร์นานเดซ ให้ได้ และอยากให้เขาได้มีโอกาสสร้างสรรค์เกมเด็ดขาด ฉะนั้นหากต้องการที่จะได้แชมป์คาราบาว คัพ แน่นอนว่าทีมจะต้องไม่ให้โอกาสแข้งแชมป์โลกได้ควบคุมแดนกลางเด็ดขาด 

3. แนวรับห้ามพลาดจากการสร้างเกมรุก

 จุดเด่นที่เห็นได้ชัดสำหรับ ลิเวอร์พูล ในยุคคล็อปป์ ก็คือพวกเขามักสร้างเกมรุกขึ้นมาจากแนวรับ และนี่คือแนวทางการเล่นที่พวกเขาชื่นชอบอย่างมาก โดยความสำเร็จส่วนใหญ่ก็มาจากการวางระบบการเล่นแบบนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามันยอดเยี่ยมมากๆ 

 เหล่าขุนพลของ คล็อปป์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่เคยกลัวการผ่านบอลจากแดนหลังโดยเริ่มจากผู้รักษาประตู และผ่านบอลไปมาแถวๆ กรอบเขตโทษของพวกเขา ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นจุดเด่นมากๆ และมีหลายครั้งที่ลิเวอร์พูล ได้ประตูจากการสร้างเกมสไตล์นี้

 แน่นอนว่าการที่ทีมเล่นแบบนั้นได้ก็เพราะมี อลีสซง เบ็คเกอร์ ซึ่งเป็นโกลที่มีความมั่นใจในการใช้เท้าเล่นอย่างมาก แต่กระนั้นเขาก็เคยพลาดเช่นกัน อย่างไรก็ตามเกมนี้ นายด่านชาวบราซิเลียน ไม่ได้ลงเฝ้าเสาในนัดชิงครั้งนี้ ฉะนั้น ควีวิน เคลเลเฮอร์ จะต้องแสดงศักยภาพให้ดีที่สุด

 สำหรับการเล่นแบบนี้นักเตะ "หงส์แดง" ต้องไม่ทำให้ เคลเลเฮอร์ ต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม นายทวารชาวไอริช วัย 25 ปี ไม่เคยแสดงให้เพื่อนร่วมทีมต้องผิดหวังจากฟอร์มการเล่นในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นถ้าหากทีมไม่เล่นผิดพลาดในการสร้างเกมขึ้นจากแนวรับ โอกาสที่พวกเขาจะได้ประตูก็มีสูงเลยทีเดียว 

4. อย่ามีนักเตะบาดเจ็บเพิ่มเด็ดขาด

 ลิเวอร์พูล ถือว่าดวงแตกสุดๆ เมื่อมีผู้เล่นระดับคีย์แมนบาดเจ็บมากมายนับตั้งแต่เริ่่มต้นปี นั่นทำให้ในปัจจุบันขุมกำลังของพวกเขาต้องโดนโรคเดี้ยงเล่นงานไปแล้ว 11 ราย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่าเปิดห่วงมากๆ สำหรับ คล็อปป์ ในการเลือกทีมสำหรับเกมนัดชิงกับ เชลซี

 ในเกมสำคัญช่วงสุดสัปดาห์นี้ ลิเวอร์พูล ต้องลุ้น 3 แข้งสำคัญได้แก่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดาร์วิน นูนเญซ และ โดมินิค โซโบซไล ว่าจะฟิตทันสำหรับแมตช์นี้หรือไม่ ขณะที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ดีโอโก้ โชต้า กับ อลีสซง หมดสิทธิ์ลงเล่นแน่นอน 

 ตอนนี้ถ้าหากมองในแง่ลบกรณีที่ "บังโม" กับ "น้องนูน" ไม่ฟิต นั่นหมายความว่า คล็อปป์ จะมีออปชั่นในแดนหน้าแค่ หลุยส์ ดิอาซ กับ โคดี้ กัคโป เท่านั้น และคงทำให้ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ถูกส่งไปยืนทางริมเส้นฝั่งขวาเหมือนในเกมถล่ม ลูตัน ทาวน์  

 ด้วยเหตุนี้ นายใหญ่ชาวด๊อยท์ช ไม่อยากเห็นลูกทีมที่เหลืออยู่ต้องถูกนำชื่อไปใส่ในบัญชีแข้งเจ็บเพิ่ม !!! แต่หากมองอีกมุมนี้อาจเป็นการเปิดโอกาสให้กับดาวรุ่งอย่าง เคด การ์ดอน และ เจย์เดน แดนน์ส ที่จะได้เฉิดฉายก็ได้

     ทอมเม้ง


ที่มาของภาพ : gettyimages
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport