เบื้องหลังแห่งแชมป์อาร์เจนติน่า โค้ช & เมสซี่

การคว้าแชมป์ของอาร์เจนติน่า คงไม่ใช่การดวลจุดโทษชนะฝรั่งเศสอย่างเดียว มันมีเส้นทางสู่แชมป์ และคงไม่ใช่เริ่มตั้งแต่นัดแรกที่แพ้ซาอุดีอาระเบีย คงต้องย้อนไปไกลถึง 4 ปีโน่นเลย

มันเริ่มตั้งแต่ พ.ย. 2018  วันที่สหพันธ์ฟุตบอลอาร์เจนติน่าหรือ AFA ประกาศเปลี่ยนสถานะโค้ชรักษาการ ลิโอเนล สกาโลนี ให้เป็นโค้ชคุมทีมถาวร โดยมี ปาโบล ไอมาร์ รับบทผู้ช่วย ก่อนที่จะดึง วอลเตอร์ ซามูเอล กองหลังแข้งโหด, โรเบรโต อยาลา มาร่วมเป็นทีมงานที่แข็งแกร่งเอาเรื่อง

ใช่ครับ...เส้นทางสู่แชมป์ต้องย้อนไปถึงวันแรกที่ สกาโลนี รับหน้าที่อย่างเต็มตัว แทนที่นายเก่าของเขา ฮอร์เก ซัมเปาลีที่โดนเด้งออกจากตำแหน่งหลังหมดบอลโลก 2018

คิดดูนะครับว่า 36 ปี นับจาก คุณหมอ คาร์ลอส บิลาร์โด พาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยสองปี 1986 ทีมฟ้าขาวใช้โค้ชไปแล้วทั้งสิ้น 11 คน นับจากคุณหมอ บิลาร์โด วางมือหลังบอลโลก 1990 แต่ไม่มีใครพาทีมสัมผัสถ้วยฟีฟา เวิลด์ คัพ ได้เลย (เฉียดๆคือ อเลฮานโดร ซาเบยา) 

อัลฟิโอ บาซิเล (2 รอบ)

ดาเนียล พาสซาเรยา

มาร์เซโล บิเอลซา

โฮเซ เปเกร์มาน

ดีเอโก มาราโดนา

เซร์คิโอ บาติสต้า

อเลฮานโดร ซาเบยา........ดีสุดคือรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 

เคราร์โด "ตาต้า" มาร์ติโน

เอดการ์โด เบาซา

ฮอร์เก ซัมเปาลี 

ดังนั้น.....สกาโลนี ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอนครับ เมื่อเขาคือหนึ่งเดียวที่ทำได้ต่อจาก บิลาร์โด้ 

ผมพึ่งเขียนเบื้องหลังการคว้าแชมป์อย่างละเอียดในน.ส.พ. สตาร์ซอกเกอร์ รายวัน นี่ส่งต้นฉบับให้ผู้รับผิดชอบไปแล้ว วางแผงสาย ๆวันอังคาร แถว 7-11 ใกล้บ้านท่านหรือสั่งซื้อได้ทาง สยามสปอร์ตชอป 

แชมป์โลกสมัย 3 มี 3 ปัจจัยสู่แชมป์ ครับ

1 เมสซี่ คือคนอาร์เจนติน่า 

ลิโอเนล เมสซี่ จากบ้านที่เมืองใหญ่อย่าง โรซาริโอ แห่งแคว้น ซานตา เฟ มาตั้งแต่อายุ 13 ขวบเพื่อเข้าสังกัดทีมเยาวชนบาร์เซโลนา ณ ลา มาเซีย เมื่อปี 2000 ก่อนที่เขาได้กลายเป็นนักเตะโด่งดังระดับโลกกับบาร์เซโลนา

นั่นจึงทำให้ทุกสิ่งอย่างในชีวิตของเขาอยู่กับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมแบบกาตาลุนยา หาใช่บ้านเกิดเมืองนอนอย่างอาร์เจนติน่าไม่ 

นึกภาพของคนไทยที่ไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ 13 ขวบ นานๆกลับบ้านที่ ภาษาที่ใช้ก็คงเป็นภาษาต่างชาติซะมากกว่าภาษาไทยของเราเอง วัฒนธรรมหลายอย่างถูกผสมผสานหรืออาจโดนกลืนไปกับความเป็นคนต่างชาติ 

เมสซี่ ก็คงเป็นแบบนั้น นั่นจึงทำให้หลายครั้งเราพบว่า การกลับไปเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนติน่าดูเหมือนกลายเป็นความแปลกแยก มันเหมือนเขาไม่เข้าพวก ไม่ลงล้อคเหมือนเล่นให้บาร์เซโลนา

ทุกคนพากันวิจารณ์ว่า เมสซี่ จะเล่นได้ดีเฉพาะระบบที่ถูกสร้างมากับ บาร์เซโลนา เหมือนบาร์ซ่าคือทีมชาติของเขาหาใช่ อาร์เจนติน่าอย่างไรไม่ แม้เสียงวิจารณ์นี้ไม่ได้มีผลอะไรกับ เมสซี่ แต่ตัวของเขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดหวังอย่างรุนแรง

จากรองแชมป์โลก 2014 มาต่อด้วยความล้มเหลวในโกปา อเมริกา ที่พวกเขาแพ้จุดโทษชิลี เป็นการเข้าชิงชนะเลิศติดต่อกัน จน เมสซี่ ผิดหวังอย่างหนัก ถึงขั้นประกาศเลิกเล่นทีมชาติในวัยแค่ 29 ปีเท่านั้นเอง

กระนั้นเขากลับลำ รับใช้ชาติต่อ...ดูเหมือนว่า เมสซี่ สีเลือดหมูน้ำเงิน เริ่มเปลี่ยนสีเป็นฟ้าขาวมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มต้นปี 2019 ฟุตบอลโกปา อเมริกา ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ

นี่คือทัวร์นาเม้นต์ที่ทุกคนสังเกตเห็นว่า เมสซี่ เริ่มร้องเพลงชาติอาร์เจนติน่า ก่อนเกม โดยเฉพาะรอบก่อนรองชนะเลิศที่เจอกับเวเนซูเอล่า นี่คือสัญญาบ่งชี้ในทางบวก มันเหมือนกันกับว่า...คนอาร์เจนติน่าได้เห็นลูกหลานที่ไปเติบใหญ่ยังต่างแดนเริ่มซึมซับแผ่นดินแม่ของตัวเองบ้างแล้ว

นับจากนั้น เมสซี่ ร้องเพลงชาติอาร์เจนติน่าในการเล่นระดับชาติเรื่อยมา

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่มาพร้อมกันกับแคแรกเตอร์ใหม่ของ เมสซี่ ที่เริ่มดุดัน เกรี้ยวกราดโดยเฉพาะนอกสนามแข่งขัน ซึ่งเขาเอง "กล้า" ที่จะท้าทายในสิ่งที่เขามองว่าอยุติธรรม

เมื่อก่อนเรามองกันว่า ดีเอโก มาราโดนา คือ "ป๋า" ของเพื่อนๆ ในทีมเพราะความ "แบด บอย" ของมาราโดนา ที่เป็นนักเตะสายเทา ไม่ใช่เด็กดี อยู่ในกรอบเหมือนเมสซี่

การปรับเปลี่ยนท่าทีของ เมสซี่ น่าจะทำให้กองเชียร์แฮปปี้ในแคแรกเตอร์ใหม่ของเขา อย่างเช่น นัดที่แพ้บราซิล รอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโกปา อเมริกา 2019 ที่เบโล ออริซอนเต 

เกมนั้นแพ้ 2-0...หลังจบเกม เมสซี่ สัมภาษณ์แบบไม่เกรงใจใครด้วยการบอกว่า "ผมหวังว่า คอนเมโบล (สหพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้) คงทำอะไรสักอย่างกับผู้ตัดสินแบบนี้  ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะทำอะไรหรอกครับ เนื่องจากบราซิลควบคุมทุกอย่างเอาไว้"

ว่ากันว่าโกปา อเมริกา 2019 เที่ยวนั้นเหมือนเป็น นโยบายแอบแฝงของ ประธานาธิบดี แจร์ โบลโซนาโร ที่ใช้การแข่งขันฟุตบอลมาเป็นการหาเสียงทางการเมือง โดยเฉพาะปธ. โบลโซนาโร (ซีกขวาจัด)เป็นตัวสร้างความขัดแย้งในประเทศเพราะใช้ สีเขียวเหลืองของธงชาติมาสร้างวาทะกรรม จนคนบราซิลแบ่งพรรคแบ่งพวก เพราะหากใครใม่อยู่ในสองสีนี้ จะเป็นพวกตรงกันข้าม ถึงวันนี้ เอฟซี ของ โบลโซนาโร ยังสนับสนุนเขาและคิดว่าโดนโกงการเลือกตั้งทั่วไปล่าสุดที่เขาเสียท่าต่ออดีตประธานธิบดี ลุยส์ ลูล่า ถึงขั้นไปต่อยตีกับตำรวจเมื่อสี่ห้าวันก่อน

โกปา อเมริกา 2019 เราได้เห็นมุมมืดของ เมสซี่ ที่อาจซ่อนอยู่แต่ไม่เคยใช้หรือไม่กล้าใช้  แต่มุมนั้นกลับกลายเป็นมุมบวกให้กับตัวเขาเองและทีมชาติชุดนี้ โดยหลังจบเกมดังกล่าย เมสซี่ ตะบะแตก ให้สัมภาษณ์วิจารณ์ คอนเมโบล รุนแรง ก่อนที่นัดชิงอันดับสาม เขาจะโดนไล่ออกเพราะออกอาการใส่นักเตะชิลี นั่นคือใบแดงที่สองในการเล่นทีมชาติ 14 ปีของเขา

ตัดมาที่หลังจบทัวร์นาเม้นต์โกปา อเมริกา 2019 เขาโดนแบน 3 เดือนหลังเพราะวิจารณ์สหพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้ 

จากนั้นเราเริ่มเห็นแคแรกเตอร์ ของการเป็นนักสู้ ไม่ยอมถอยของเขาในอีกแบบฉบับหนึ่งที่นอกเหนือจากเกมการเล่น โดยเฉพาะในฟุตบอลโลกครั้งนี้ที่เขากล้าต่อปากต่อคำกับ หลุยส์ ฟาน กัล และเอ็ดการ์ ดาวิดส์

เหตุจากการที่ ฟาน กัลให้สัมภาษณ์เชิงข่มว่า มีวิธีการจัดการกับ เมสซี่ ที่เหมือนเดินเล่นในสนามหากไม่มีบอล คราวนี้พอเขายิงประตูทีมดัชท์ได้ เขาทำท่าดีใจเอามือป้องหูใส่ ม้านั่งสำรองของฮอลแลนด์

ท่าดีใจนี้ ฮวน โรมัน ริเกลเม่ (ไม่ถูกกับ ฟาน กัลด้วย ในทีมบาร์ซ่า) เคยใช้บ่อยๆ มีชื่อว่า Topo Gigio ที่คือการ์ตูน มิกกี เมาส์ นั่นแหละ 

เราไม่ค่อยเห็น เมสซี่ เกรี้ยวกราดอะไรแบบนั้น 

พอจบเกมเขาเยาะเย้ย วูต เวกฮอร์สท์ ที่ช่วงลงมาเป็นตัวสำรองแล้วพูดอะไรเยอะแยะในเกม คราวนี้พอชนะ เมสซี่ เลยได้ทีขี่แพะไล่ เขาบอก เวกฮอร์สท์ ว่า .."What are you looking at, bobo (stupid boy)? What are you looking at, bobo? Go away, bobo."

โบโบ เป็นสแลงคนอาร์เจนติน่าที่แปลว่า "ไอ้ซื่อบื้อ" 

มองอะไรไอ้บื้อ, มองอะไร...ไปไกลๆเลย ไอ้บื้อ

หลังเกมชนะจุดโทษนี้ วุ่นวายเลยเพราะบอลจบคนไม่จบ ขณะที่ เมสซี่ เดินไปหา ฟาน กัล และ ดาวิดส์ พร้อมทั้งบอกว่า "กรุณาอย่าเยอะ" เล่นเอา ดาวิดส์ ไปฟ้องผู้ตัดสินที่สี่ให้ลงโทษ เมสซี่

เหล่านี้คือ "แคแรกเตอร์" ที่ปรับเปลี่ยนของ เมสซี่ ที่แม้อายุมากขึ้น แต่เรื่องเชิงจิตวิทยาเหล่านี้มาเสริมให้เขาดูแกร่งมากขึ้นในอีกมุมหนึ่ง และมันเหมือนกันกับเลือดนักสู้ที่ไม่กลัวใครแบบคนอาร์เจนติน่า 

เรียกว่า ออกลูกนักเลง ให้เห็น

บางทีเราอาจจะบอกว่า...นับตั้งแต่ปี 2019 ลิโอเนล เมสซี่ คือคนอาร์เจนติน่าอย่างสมบูรณ์แบบแล้วนั่นเอง

2  ทีมสปิริตและBBQ

ที่น่าทึ่งก็คงเป็นกลุ่มนักเตะที่รายรอบตัวของเขาส่วนใหญ่เป็นดาวรุ่งบวกกับชุดนักเตะที่เติบโตทีหลังเขา นั่นทำให้ การยอมรับ มันมีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว และนี่คือสิ่งที่ถูกหล่อหลอมจาก ลิโอเนล สกาโลนี ให้เป็นทีมสปิริตขึ้นมาโดยมี เมสซี่ เป็นศูนย์กลางในทุกเรื่องไม่ใช่แค่ฟุตบอล

โดยเฉพาะจากการที่ เมสซี่ เริ่มดุดัน เกรี้ยวกราด ยิ่งเป็นสิ่งที่ถูกใจกลุ่มนักเตะชุดนี้อย่างยิ่ง นั่นทำให้พวกเขามองว่า "หัวหน้า" ..."กล้าลุยกล้าแลก" สิ่งเหล่านี้มันเหมือนกันกับนักเตะชุดตำนาน

มาริโอ เคมเปส, ดาเนียล พาสซาเรย่า, ดีเอโก มาราโดนา, ออสการ์ รุจเจอรี, ....ที่เพื่อนร่วมทีมซูฮกในความเป็นผู้นำ

ตำนานแชมป์โลกเหล่านี้มีเลือดนักสู้ ไม่ท้อถอย....

คนที่ยืนยันเรื่องนี้คือ อดีตศูนย์หน้าแชมป์โลก 1986 ฮอร์เก บัลดาโน 

"ความจริงคือว่านักเตะชุดนี้รวมตัวกันอย่างมีพลังมาก เป็นชุดที่แข็งแกร่ง มีสตาร์ดังคนเดียวคือ เมสซี่  ที่เป็นหัวใจทุกสิ่งอย่างทั้งในและนอกสนามฟุตบอล เขาเหมือนเพื่อนร่วมรุ่นสถาบันเดียวกันกับนักเตะชุดนี้"

"ผมมองว่าทีมอาร์เจนติน่าชุดนี้ ค้นพบระบบที่เหมาะสมลงตัว ดูภาพแล้วเหมือนแก๊งค์ระดับชาติอย่างหนังเรื่องโอเชียน 11 นักเตะขึ้นรถบัสโดยมี เมสซี่ เป็นผู้นำ ที่สำคัญ หลังแพ้ ซาอุดีอาระเบียเห็นได้ชัดเลยว่า ทีมรวมพลังและมีสปิริตสูงมาก"

ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันยังแสดงออกให้เห็นได้ชัดเมื่อ เลอันโดรา ปาเรเดส กองกลางยูเวนตุส เลี้ยงวันเกิดที่เกาะ อีบีซา (ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) เพื่อนร่วมทีมชุดนี้ 13 คน บินไปงานเลี้ยงวันเกิดให้ ปาเรเดส โดยลูกพี่ใหญ่ เมสซี่ วีดีโอ คอล หา

อีกทั้งพวกเขามักรวมตัวย่างบาร์บีคิวเนื้อกินด้วยกัน

อย่างบอลโลกครั้งนี้ทีมอาร์เจนติน่านำเตาย่างขนาดใหญ่ 4 เตา และเตาอบ พร้อมกันกับเนื้อแบบอาร์เจนติน่าจำนวน 2,600 ก.ก. เพื่อย่างกินกันทั้งทัวร์นาเม้นต์ มันเหมือนย่างเนื้อกิน แต่ความจริงมันคือการรวมตัวกันระหว่างพรรคพวกเพื่อนฝูง มันเหมือนการทำพิธีกรรมอะไรสักอย่างที่คนอาร์เจนติน่าเรียกว่า  asado 

เป็นมื้ออาหารที่สร้างสปิริตความเป็นพวกพ้องเดียวกันอย่างกลมเกลียวเหนียวแน่น 

เหมือนร่วมกันกินให้อิ่มหนำสำราญก่อนออกรบ อะไรทำนองนั้น

3  La Scaloneta 

ลิโอเนล สกาโลนี โค้ชวัย 45 ปีที่อายุมากกว่า เมสซี่ 10 ปีแถมยังเคยเล่นทันกันในทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดบอลโลก 2006 แม้ประสบการณ์มีไม่มากมายอะไรในงานโค้ชแต่เขาก็มีไอเดีย และได้ทำงานกับโค้ชฝีมือดีอย่าง ฮอร์เก ซัมเปาลี

ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา สกาโลนี ได้รับเสียงชื่นชมมากขึ้นเรื่อยๆจน สื่ออาร์เจนติน่าเรียกเขาว่า 'La Scaloneta' 

กล่าวคือเขามี "แนวทาง" ในการทำงาน

แม้ว่าส่วนหนึ่งที่กลายเป็น "เรื่องราว" คือการที่เขาทวิตข้อความพร้อมภาพ เมสซี่ ถูกรุมล้อมด้วยนักเตะ 5-6 คนในสนาม หลังจาก เมสซี่ ประกาศเลิกเล่นทีมชาติเมื่อปี 2016

สกาโลนี ตอนนั้นเป็นผู้ช่วยของ ซัมเปาลี ในทีมเซบีญา 

เขาทวิตข้อความว่า ...

esta imagen lo dice todo.... no te vayas 

แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า

This image says it all… Don't go, Lio," he wrote.

เป็นภาษาไทยคือว่า "ภาพนี้บอกทุกสิ่งอย่าง...อย่าเลิกเล่นทีมชาติ ลิโอ"

ใครจะคิดว่าวันหนึ่ง...สกาโลนี จะกลายเป็นโค้ชทีมชาติอาร์เจนติน่า โดยมี อีกลิโอเนล มาร่วมกันสร้างผลงานสู่ความสำเร็จ

"โชคชะตา"....คงแบบนั้น

แนวทางสร้างทีมของ สโกลารี น่าสนใจครับ

สร้างบรรยากาศล้อมรอบ เมสซี่ แต่ไม่ให้แบกทีม ทุกคนต้องช่วยกันเล่น โดยมี เมสซี่ เป็นตัวนำ

แคมป์เก็บตัวทีมชาติ เหมือนงานเลี้ยงรุ่น การทำอะไรร่วมกันทั้ง บาร์บีคิว, ดื่มกาแฟสไตล์ละติน, พูดคุยหยอกล้อการอย่างสนุกสนานโดยมี โรดริโก เด ปอล เป็นหัวโจกสายฮา "ก็มาดิคร้าบ"

ระบบ 4-4-2 ไดมอนด์ กับ 4-3-3 ถูกใช้ตลอดเส้นทางการคุมทีมของเขา จนได้แชมป์ โกปา 2021 ต่อด้วยฟุตบอลโลก 2022 

ทีมงานคุณภาพ...แน่นอน ที่ม้านั่งสำรองมีสต๊าฟโค้ช ผู้เป็นตัวเก๋า สายโหดอย่าง โรแบร์โต อยาลา, วอลเตอร์ ซามูเอล ที่นักเตะชุดนี้เคารพ ยำเกรง และสายบุ๋น จอมเทคนิค อย่าง ปาโบล ไอมาร์ ที่ทำงานร่วมกันกับ สกาโลนี 

ไม่ใช่แค่ประสบการณ์ในสนามฟุตบอลอย่างเดียว บรรดาสต๊าฟโค้ชระดับตำนานทีมชาติเหล่านี้รู้ดีว่าจะกระตุ้นนักเตะชุดนี้อย่างไรให้รู้ซึ่งถึงคำว่า "ทีมชาติอาร์เจนติน่า"

กฏเหล็กข้อเดียวของเขาคือ เมื่อมาอยู่ในแคมป์เก็บตัวทีมชาติอาร์เจนติน่า นักเตะทุกคนจะต้องนั่งรับประทานอาหารในโต๊ะเดียวกัน เพื่อที่จะมองหน้าพูดจาภาษาอาร์เจนไตน์

แหม....นี่ถ้าหาก ดีเอโก มาราโดนา ยังมีลมหายใจ เขาน่าจะเป็นผู้นำถ้วยมาส่งมอบ มันเหมือนมอบความเป็นตำนานที่สุดยอดของโลกให้ ลิโอเนล เมสซี่ ต่อจากตัวของเขาเอง (บาติสต้า กองหลังกับ ปุมปิโด นายประตูนำถ้วยแชมป์บอลโลกออกมาก่อนมอบถ้วย)

นั่นแหละที่ต้องบอกว่า "เงา" ของมาราโดนา หายไปแล้ว ทีมนี้ก้าวเข้าสู่ทีมประวัติศาสตร์ใหม่ของชาวอาร์เจนติน่า ที่คุณอาจเรียก ทีมเมสซี่, ทีมฟ้าขาว, หรือทีมอะไรก็ช่างเถอะ

เพียงแต่ว่าพวกเขาเขียนประวัติศาสตร์ด้วยเท้าของตัวเอง สร้างบันทึกแห่งความสำเร็จในการคว้าแชมป์โลกสมัยที่สาม ต่อจากปี 1978, 1986  จากดาเนียล พาสซาเรย่า, ดีเอโก มาราโดนา มาจนถึง ลิโอเนล เมสซี่

ความสำเร็จที่ไม่เคยง่ายเพราะถ้าง่ายคงได้ไปนานแล้ว ถึงขนาดที่นำ 2-0 ยังโดนลากไปช่วงต่อเวลาจนทำให้ต้องยิงจุดโทษตัดสิน นี่คือความยากลำบากในการนำทีมสู่แชมป์ฟุตบอลโลก

ยินดีกับแชมป์บอลโลก3 สมัยอย่าง อาร์เจนตินาที่เฝ้ารอมานานถึง 36 ปี

JACKIE


ที่มาของภาพ : getty images
BY : JACKIE
อดิสรณ์ พึ่งยา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport