นัดชิงที่กระฉูดแตกที่สุด! สิ่งที่อยากบอกหลัง อาร์เจนตินา สานฝันคว้าแชมป์โลก

ศึกฟุตบอลโลก 2022 ในความรู้สึกของท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผม จบลงอย่างสวยงามและซาบซึ้งมากนะครับ

เมื่อ อาร์เจนติน่า คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ได้สำเร็จและในที่สุด ดาวเตะอย่าง ลีโอเนล เมสซี่ ก็คว้าแชมป์โลกได้สมใจเสียที เรียกว่าสมบูรณ์แบบก่อนจะปิดฉาก

และต่อไปคือสิ่งที่อยากจะบอก หลังจากชมนัดชิงชนะเลิศระหว่าง อาร์เจนติน่า กับ ฝรั่งเศส จบลง

1. ผมดูนัดชิงฯ บอลโลกมาตลอด นับตั้งแต่ปี 1982 

ว่าแล้วขอบอกว่านี่คือนัดชิงชนะเลิศที่กระฉูดแตกที่สุดเท่าที่เคยดูมา เพราะมันอุดมด้วยคุณภาพบวกความเมามันระดับ 80,000 ตีนถีบเลยทีเดียว แถมยังจบด้วยความดราม่ากระชากต่อมน้ำตาแตกอีกต่างหาก

ใครไม่ได้ดูแบบสดๆ ถือว่า...พลาด !!!

2. เรื่องของรูปแบบการเล่น และเกมการห้ำหั่นกันบนฟลอร์หญ้าก็มีอะไรให้พูดถึงมากมาย

ขอเริ่มที่ อาร์เจนติน่า ก่อน

11 ตัวจริงของทีมฟ้าขาวมีการพลิกโผเล็กน้อยตรงที่ อังเคล ดิ มาเรีย ได้กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงอีกครั้ง ทั้งๆ ที่หลุดเป็นตัวสำรองมา 3 เกมติดต่อกัน

ลีโอเนล สกาโลนี่ จัดทีมในสูตร 4-4-2 โดยให้ อังเคล ดิ มาเรีย ลงเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย

กองหน้า 2 คนมี ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ เป็นหัวหอก และ ลีโอเนล เมสซี่ เป็นผู้เล่นหมายเลข 10 ที่ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนที่ไปไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในตำแหน่งหลักของตัวเอง

พลพรรคฟ้าขาวลงเล่นด้วยความหื่นกระหายอย่างรุนแรงแบบเกินห้ามใจ พวกเขาบีบสูงใส่คู่แข่งพลางพุ่งเข้าแย่งบอลเหมือนปลาฉลามได้กลิ่นคาวโลหิต

เวลาเล่นเกมรุกจะจู่โจมอย่างรวดเร็วทันที ไม่มัวแต่ต่อบอลไปต่อบอลมา เรียกว่าแสดงความ 'กระเหี้ยน' อยากเป็นผู้ชนะออกมามากกว่าอย่างคมชัด

กุญแจสำคัญดอกแรกของเกมรุกอยู่ที่ 'คิง เลโอ' ที่มักจะถอนตัวเองลงมาเชื่อมเกมในแดนกลาง เพื่อวางบอลข้ามหลังไลน์ ดีเฟ้นซ์ ของ ฝรั่งเศส

ลูกพี่วางบอลหลังไลน์ได้แม่นยำนะครับ โดยแต่ละดอกนั้นมีประสิทธิภาพ สามารถเล่นงานเกมรับของคู่แข่งให้ระส่ำ

กุญแจสำคัญดอกต่อมาคือ อังเคล 'เดอะ สเน็ค' ดิ มาเรีย ที่ลงเล่นเป็นปีกซ้าย แล้วใช้ความลื่นเป็นปลาไหลสร้างความปั่นป่วนให้เกมรับของคู่แข่งจนถึงขนาดทำฟาวล์เสียจุดโทษ

จังหวะนั้น อุสมาน เดมเบเล่ ถูกหลอกจนเสียเหลี่ยมตั้งแต่แรกแล้วนะครับ ก่อนจะทำฟาวล์แบบไม่จำเป็น ชัดเจนว่าเป็นจุดโทษ เพราะทำฟาวล์ในเขตโทษ

ประตูที่ 2 ของ 'ทีมเมสซี่' ก็มาจากการทำชิ่งจังหวะเดียวอย่างแม่นยำ 3-4 ทอด ก่อนที่ 'เดอะ สเน็ค' จะเป็นผู้เผด็จศึก

อาร์เจนติน่า เหนือกว่าด้วยรูปเกม จังหวะเข้าทำ รวมถึงความมุ่งมั่น และทุ่มเท แถมออกนำไปก่อนถึง 2-0

ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร...ใช่ไหมครับ ??? 

3. เท่านั้นไม่พอ

เกมผ่านไป 60 นาที 'แชมป์เก่า' ยังหาจังหวะจบไม่ได้เลยสักครั้ง มิหนำยังโชว์ฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐาน

แต่ ฝรั่งเศส จากการทำงานของ ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ ชุดนี้มีอัตราความเป็น 'เจสัน' สูงมากครับ คือ...ตายยาก

ทีมตราไก่เล่นไม่ค่อยไฉไลเลยนะครับ ครองบอลทำเกมรุกไม่ถนัดตั้งแต่เริ่มเกมแล้ว พวกเขาเล่นเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนยังไงชอบกล เกมจึงออกมาเนือยๆ สปีดบอลก็ช้ามาก 

ยังไม่ทันจบครึ่งแรกต้องกระชากกองหน้าอย่าง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ กับ อุสมาน เดมเบเล่ ออกจากสนาม เพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ครึ่งหลัง ฝรั่งเศส พยายามบุก แต่ก็บุกไม่ขึ้นสักเท่าไหร่ ตัวความหวังอย่าง คิลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ เปลี่ยนตำแหน่งจาก 'หน้าซ้าย' ไปเป็น 'หน้าเป้า' ก่อนถูกขยับออกมา 'หน้าซ้าย' อีกที

ทว่าตั้งแต่นาทีที่ 60 เป็นต้นไป พลพรรคเลส์ เบลอส์ ก็เริ่มครองบอลทำเกมรุกได้มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกับที่ อาร์เจนติน่า เปลี่ยนแท็คติกมาเล่นเกมรับ เพื่อรักษาสกอร์บ้าง

ยิ่งถอด อังเคล ดิ มาเรีย ออกจากสนาม ยิ่งช่วยให้ ฝรั่งเศส กล้าเล่นเกมรุกมากขึ้นแบบไม่จำเป็นต้องพะวักพะวง เพราะไม่มีปีกซ้ายทะลวง Rule Darkz ผู้นี้ ภาระเบาไปเยอะเลยทีเดียว

แล้วความผิดพลาด & ความโฉ่งฉ่างของกองหลังอย่าง นิโกลาส์ โอตาเมนดี้ ก็ช่วยให้ ฝรั่งเศส กลับมาจากป่าช้า 





เมื่อตีไข่แตกได้สำเร็จ โมเมนตั้มก็เหวี่ยงมาทางแชมป์เก่าทันทีจนนำมาซึ่งประตูตีเสมอ

จำได้ใช่ไหมครับที่ผมบอกว่า ฝรั่งเศส ชุดนี้มีอัตราความเขี้ยวยาวลากดินสูงมาก คือรูปเกมไม่ต้องดี และไม่จำเป็นต้องบุกขย่มคู่แข่งอยู่ข้างเดียว บทจะได้ประตู เดี๋ยวจะได้เอง เพราะมีความเด็ดขาดในจังหวะเข้าทำ

อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่า 'หมัดหนัก' นั่นแหละ

จังหวะที่ 'ท่านประธาน' ตวัดยิงเปรี้ยงเดียวตุงตาข่าย ตีเสมอเป็น 2-2 คือหลักฐานยืนยันหนักแน่น หลังฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของคู่แข่ง แล้วสามารถเผด็จศึกได้อย่างเด็ดขาดดีนักแล

นาทีนั้น 'โมเมนตั้ม' เหวี่ยงมาทาง ฝรั่งเศส แบบเต็มๆ แถม อาร์เจนติน่า ก็ดูเหมือนจะหมดแรงจนป้อแป้ไปป้อแป้มา

ซ้ำร้าย 'ลูกพี่' หมายเลข 10 เหมือนจะหายไปจากเกมอีกต่างหาก 

4. คิดแล้วก็เสียดายแทน อาร์เจนติน่า ที่อุตส่าห์นำห่าง 2-0 ด้วยฟอร์มการเล่นที่เหนือกว่า สุดท้ายกลับเอาชนะ ฝรั่งเศส ในเวลา 90 นาทีไม่สำเร็จจนเกมต้องมายืดเยื้อ

ตอนนำ 2-0 ผู้ชมทางบ้านอย่างผมเชียร์ให้กุนซือหนุ่มของทีมฟ้าขาวปรับระบบมาเป็น 'หลังสาม' ด้วยการส่งเซ็นเตอร์แบ็คผู้ดุดัน ไม่เกรงใจใครอย่าง ลิซานโดร มาร์ติเนซ ลงมาอีกคน แต่คุณพี่เขาคงมองว่ามันไม่มีความจำเป็นต้องกลัวเกรงคู่แข่งซะขนาดนั้น

ช่วงต่อเวลาแข้งขาผู้เล่นอ่อนล้า และเป็นเรื่องของการชิงจังหวะแล้ว

ลีโอเนล เมสซี่ อุตส่าห์ยิงนำเป็น 3-2 ซึ่งมันควรเป็นประตูชัย ก่อนจบอย่างสวยงามแบบนั้น แต่ ฝรั่งเศส ก็สำแดงเดชแห่งความเป็นเจสันออกมาให้เห็นอีกครั้งด้วยแฮตทริคในนัดชิงชนะเลิศของเด็กนรกอย่าง คิลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ จนต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ

5. สุดท้ายใครบางคนก็เขียนบทให้ตอนจบของฟุตบอลโลก 2022 โดยไม่มีการหักมุม หรือจบแบบทำร้ายจิตใจท่านผู้ชม

พระเอกของ เวิลด์ คัพ ขบวนนี้ มิได้ถูกถังแก๊ซทุ่มใส่หัวแล้วเลือดไหลทะลักออกมาทางรูจมูกในระหว่างการบิดมอเตอร์ไซค์แบบ หลิว เต๋อ หัว ในภาพยนตร์เรื่องนั้น - ผู้หญิงข้า ใครอย่าแตะ

เพียงแต่กว่าจะได้มาซึ่งความสำเร็จอย่างบริบูรณ์แบบ มันก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามมากหน่อย เพราะหากได้มาแบบง่ายเกินไป มันก็อาจไม่ทรงคุณค่ามากเท่านี้

อย่างไรก็ตาม

ขณะที่ทุกอย่างกำลังจะจบลงแบบ แฮปปี้ เอนดิ้ง ในพิธีการรับถ้วยอย่างยิ่งใหญ่

โอรสเจ้าอาหรับท่านหนึ่งก็เอา 'ชุดครุย' มาคลุมทับเครื่องแบบทีมชาติอาร์เจนติน่า ของ ลีโอเนล เมสซี่ ตอนที่ลูกพี่กำลังจะรับโทรฟี่ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ ซะอย่างนั้น !!!

อืมมมมมมมม...นะ

บอ.บู๋


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : บอ.บู๋
บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport