อิหร่าน - สหรัฐฯ เกมนี้เป็นมากกว่าฟุตบอล!!

เกมสุดท้ายในรอบแรกของฟุตบอลโลก 2022 มีคู่ที่น่าสนใจมากๆ อยู่คู่หนึ่ง เพราะไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ผลการแข่งขัน หากแต่มันคือศึกแห่ง 'ศักดิ์ศรี' ที่มีเรื่องนอกสนามมาเกี่ยวโยง

อิหร่าน พบ สหรัฐอเมริกา

ในแง่ของฟุตบอล นี่คือเกมที่ต่างฝ่ายต่างต้องการชัยชนะเพื่อการันตีการผ่านสู่รอบ 16 ทีม สุดท้าย โดยที่ผู้แพ้นั้นจะตกรอบในทันที

แต่ถ้าผลออกมาเป็นเสมอกัน ฝั่งของอิหร่าน จะได้เปรียบสหรัฐฯ อยู่พอสมควร

อย่างไรก็ตาม เกมนี้มีประเด็นทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย โทษฐานที่ทั้ง 2 ประเทศ จัดเป็นคู่แค้นนอกฟลอร์หญ้าที่กินเวลามาร่วมๆ 40 กว่าปีแล้ว

เดิมทีทั้งสองฝ่าย 'เคย' เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันอยู่ระยะหนึ่ง เนื่องจากชาติยักษ์ใหญ่แห่งเปอร์เซีย เคยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ทำให้มีสายสัมพันธ์ทิศบวกกับพญาอินทรี

ทว่าความขัดแย้งเกิดขึ้นหลังปี 1979 กับการที่มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของอิหร่าน แถมในห้วงเวลาไล่เลี่ยกัน มีนักศึกษาอิหร่าน บุกยึดสถานทูตสหรัฐฯ พร้อมกับจับกุมเจ้าหน้าที่และพลเรือนกว่า 53 คน นานถึง 444 วัน พร้อมกับมีภาพเผยแพร่ออกสู่สาธารณชน

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความร่วมมือระหว่างทั้งสองก็ถึงคราวสะบั้นลงอย่างถาวร

นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามอิหร่าน-อิรัก (1980-87) รวมไปถึงเครื่องบินโดยสารของอิหร่าน ถูกยิงตก (1988) ทำให้อะไรต่อมิอะไรเริ่มเลวร้ายลงเรื่อยมา

อิหร่าน กับ สหรัฐฯ กลายเป็นคู่ขนานของกันและกัน

เวิร์ล คัพ 1998 ที่จัดขึ้น ณ ประเทศฝรั่งเศส ทั้งสองชาติดันจับสลากมาอยู่ร่วมกลุ่มกันในกรุ๊ป เอฟ ที่มีเยอรมัน, ยูโกสลาเวีย, อิหร่าน และสหรัฐ

โปรแกรมการแข่งขันของทั้งสองทีมเกิดขึ้นในนัดที่ 2 ซึ่งก่อนจะคิ๊ก-ออฟก็มีเรื่องราวดรามาเล็กๆ เพราะว่า อาลี คัมเมนี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ในเวลานั้นกำชับว่า 'ห้าม' จับมือกับนักเตะมะกันเป็นอันขาด

ฝั่งสหรัฐ แก้เกมด้วยการเป็นฝ่ายเดินเข้าหาแทน โดยที่มี 'กุหลาบขาว' ที่ทางอิหร่าน ถือมาเพื่อสื่อถึง 'สันติภาพ' ก่อนที่ผู้เล่นของทั้งสองทีมจะถ่ายรูปร่วมกันจนกลายเป็นหนึ่งในภาพประวัติศาสตร์ของโลกเลยทีเดียว

ชัยชนะตกเป็นของอิหร่าน ที่เฉือนไป 2-1 พร้อมกับความคลาสสิก เนื่องจากเป็น 3 คะแนนแรกของพวกเขาใน เวิร์ล คัพ รอบสุดท้าย 

ฟุตบอลเหมือนจะทำให้เรื่องราวระหว่างสองประเทศดูดีขึ้น แต่ก็เข้าอีหรอบเดิม เพราะข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ใน 2015 ที่ทางสหรัฐฯ ซึ่งมี โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ได้ตัดสินใจคว่ำบาตรอิหร่าน

ตามต่อด้วย นายพลกาเซม โซเลมานี ทหารคนสำคัญที่สุดของยักษ์ใหญ่แห่งเปอร์เซีย ถูกสังหารในปี 2020 ก็ยิ่งกระพือไฟแห่งความเกลียดชังระหว่างสองชาติให้ทวีคูณ





นับตั้งแต่นั้น สถานการณ์ระหว่างสองประเทศก็ตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนนานานับประเทศต่างหวาดหวั่นว่า 'สงครามโลก' จะเกิดขึ้น

ดูเหมือนว่า อิหร่าน และ สหรัฐ ไม่มีทางจับมือกันได้อีกต่อไป

เข็มนาฬิกาเดินหน้าสู่ปี 2022 ความบังเอิญเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ เวิร์ล คัพ ฉบับกาตาร์ ทั้งสองชาติดันถูกจับมาอยู่ร่วมกลุ่มเดียวเป็นรอบที่ 2

ยังไม่ทันจะเขี่ยลูกเริ่มเกม ก็มีเรื่องทะเลาะกันเสียแล้ว โดยเฉพาะล่าสุดที่สหพันธ์ฟุตบอลอิหร่าน ได้ยื่นประท้วงไปยัง ฟีฟ่า เพื่อขอลงโทษสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนภาพธงชาติอิหร่านในรูปที่โพสต์บนโลกออนไลน์ โดยลบสัญลักษณ์ประจำชาติคำว่า 'อัลเลาะห์' ที่อยู่ตรงกลางธงออกไป 

ค่ำคืนวันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน ณ อัล ธูมามา สเตเดี้ยม คงจะเป็นอีกหนึ่งหน้าจารึกประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังนานาชาติ กับการเผชิญหน้าของคู่แค้นตลอดการที่มีผลทางด้านการเมืองมาเกี่ยวโยง

2 ชาติ จาก 2 ฟากฝั่งของโลก กับเกมการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติจะจบลงเช่นไร อีก 90 นาที คงจะได้รู้กัน

แต่ที่แน่ๆ นัดนี้จะเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกของทั้งสองประเทศที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมก้มหัวให้กัน เพราะมีคำว่า 'ศักดิ์ศรี' ค้ำอยู่บนบ่า อีกทั้งก็ต้องการชัยชนะเพื่อผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

อิหร่าน - สหรัฐฯ เกมนี้เป็นมากกว่าฟุตบอลจริงๆ


ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport