ทุกทีมมียุคทองของตัวเอง..

บางทีมมียุคทองหลายครั้ง บางทีมอาจจะมีแค่ไม่กี่ครั้ง หรือบางทีมอาจจะเพิ่งมีได้แค่ครั้งเดียว ครั้งต่อๆ ไปจะมาอีกเมื่อไหร่ไม่อาจรู้ได้

ยุคทองก็เหมือนเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตนะครับ.. มันผ่านเข้ามา แล้วก็รอเวลาจากไป ไม่มีอะไรเป็นนิรันดร์

ถ้าพูดถึงยุคทองของทีมฟุตบอล โปรตุเกสมักจะเป็นทีมแรกๆ ที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำ ผมจำยุคทองของโปรตุเกสได้ดี มันคือช่วงปลายทศวรรษ 1980 ด้วยผู้เล่นชั้นยอดอย่าง เจา ปินโต้ หลุยส์ ฟิโก้ รุย คอสต้า แฟร์นานโด เคาโต้ เปาโล ซูซ่า รุย เบนโต้ จอร์จ คอสต้า ฯลฯ

แชมป์เยาวชนโลก 2 สมัยซ้อนในปี 1989 กับ 1991 คือเครื่องการันตี ไม่รวมแชมป์รายการน้อยใหญ่ระดับทวีปอีกมากมายที่ไล่กวาดมาเรียบ

มันคือโกลเด้นเจเนอเรชั่นที่ชัดเจน พูดถึงคำนี้เมื่อไหร่ก็มักจะนึกถึงโปรตุเกสขึ้นมาก่อนทุกที ถ้ามีเวลาคงจะได้เขียนถึงพวกเขากันนะครับ

ยุคทองของทีมอื่นๆ ก็มีด้วยกันทั้งนั้นโดยเฉพาะทีมใหญ่ของโลก บราซิล 1970 ที่ขึ้นหิ้งเป็นหนึ่งในชุดที่ดีที่สุดตลอดกาลไปแล้วนั่นก็ยุคทอง โครเอเชียชุดอันดับสามฟุตบอลโลก 1998 ก็ยุคทอง อิตาลีชุดแชมป์โลก 2006 ก็ยุคทอง

กระทั่งโคลอมเบียในฟุตบอลโลก 1994 ที่ตกรอบแรก.. ก็ยุคทองของพวกเขา

หนึ่งในเกมฟุตบอลโลก 4 คู่ของวันนี้ เบลเยียมจะลงสนาม

ทีมปีศาจแดงแห่งยุโรปก็เป็นอีกชาติครับที่มียุคทองของตัวเองในเกมฟุตบอล

ทศวรรษ 1980 ในยุคยอดกุนซือ กีย์ ไธส์ วงการลูกหนังเบลเยียมตื่นตัวสุดๆ กับผลงานในเวทีใหญ่ เข้าชิงฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 1980 และอีกหกปีให้หลังทะลุไปถึงอันดับสี่ฟุตบอลโลกที่เม็กซิโก

ด้วยขุนพลอย่าง แยน คูเลอม็องส์ ฌ็อง-มารี พัฟฟ์ เอริค เกเร็ตส์ เป็นหัวใจหลักจากชุดปี 1980 เสริมด้วย เอ็นโซ่ ชีโฟ่ จอร์จ กรุน มิเชล เดอ วูล์ฟ ที่เข้ามาเติมในปี 1986 นั่นคือยุคทองของฟุตบอลเบลเยียมอย่างแท้จริง

แม้จะไปไม่ถึงดวงดาว แต่ก็ใกล้เคียงมากๆ แล้ว

ยี่สิบปีต่อมาคือช่วงคืนสู่สามัญ เบลเยียมล้มลุกคลุกคลานขนาดเป็นเจ้าภาพยูโรเมื่อปี 2000 ยังตกรอบแรกต่อหน้ากองเชียร์ร่วมชาติ

กระทั่งเข้าสู่ช่วงทศวรรษ 2010 นั่นแหละครับ เบลเยียมถึงได้มีโกลเด้นเจเนอเรชั่นยุคที่สองขึ้นมา และครั้งนี้ดูเหมือนพวกเขาจะพร้อมยิ่งกว่าชุดแรกเสียอีก ด้วยนักเตะฝีเท้าดีที่กระจายไปเล่นกับทีมใหญ่ๆ ในลีกใหญ่ๆ พัฒนาตัวเองจนขึ้นมาเป็นระดับโลก ก้าวขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งของโลกได้ด้วยซ้ำ

การไล่ล่าความสำเร็จของเบลเยียมยุคทองยุคใหม่เริ่มต้นที่ฟุตบอลโลกปี 2014..

ทีมปีศาจแดงแห่งยุโรปของ มาร์ค วิลม็อตส์ เป็นหนึ่งในทีมที่หลายคนจับตามองว่ามีโอกาสสอดแทรกเป็นม้ามืดลุ้นแชมป์ด้วยขุนพลที่สร้างชื่อประดับวงการมากมาย

เอแด็น อาซาร์ เควิน เดอบรอยน์ โรเมลู ลูกากู แว็งซองต์ ก็องปานี โธมัส แฟร์มาเล่น โทบี้ อัลเดอร์แวเรลด์ อั๊กเซิ่ล วิตเซิ่ล ติโบ กูร์กตัวส์ ดรีส เมอร์เท่นส์ นาเซอร์ ชาดลี่ เควิน มิรัลลาส มารูยาน เฟลไลนี่ ดิว็อค โอริกี้

ไล่เรื่อยมาจนถึงฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติครั้งล่าสุด เบลเยียมได้ไปเล่นในรอบสุดท้ายทุกครั้งไม่มีพลาด ระหว่างทางกองทัพจากบรัสเซลส์ยังเติมด้วย ยานนิค การาสโก้ โธมัส เมอนิเย่ร์ รัดย่า เนียงโกลัน คริสติย็อง เบนเตเก้ มิชี่ บัตชูอายี่ ตอร์กกาน อาซาร์ ยูริ ตีเลมันส์ เลอันเดอร์ เดนดองเกอร์ เจสัน เดนาเยอร์ ธิโมธี กาสตาญ เลอันโดร โตรซาร์ เฌเรมี่ โดกู

แต่ก็อย่างที่มันผ่านมานั่นแหละครับ จากฟุตบอลโลก 2014 ผ่านศึกยูโร 2016 ฟุตบอลโลก 2018 และยูโร 2020 เบลเยียมก็ยังคงไปไม่ถึงดวงดาว.. เหมือนที่ยุคทองรุ่นพี่เคยประสบ

ไกลที่สุดเท่าที่จะไปถึง ก็ยังคงเป็นแค่รอบตัดเชือกฟุตบอลโลก แม้จะคว้าอันดับสามมาครองได้ก็ตาม

แล้วเผลอแค่กะพริบตา.. มันก็กำลังจะผ่านไป เหมือนยุคทองครั้งอื่นๆ ไม่ว่าจะของชาติไหน

จากวันที่เป็นดาวรุ่งไฟแรงห้าวหาญพร้อมเผชิญหน้ากับทุกทีม อาซาร์ในวัย 23 วันนั้นมีอายุ 31 ในวันนี้ เดอบรอยน์ในวัย 22 ก็เข้าเลขสามนำหน้าอีกคน ลูกากูอายุ 29 พร้อมผลงานดำดิ่ง แฟร์ต็องเก้น 35 อัลเดอร์แวเรลด์ 33 วิตเซิ่ล 33 หรือก็องปานีที่สดชื่นเต็มที่ในวัย 28 เป็นกัปตันทีมผู้แข็งแกร่งก็ร่วงโรยอำลาทีมชาติเข้าสู่งานโค้ชไปแล้ว

ยุคทองของเบลเยียมผ่านเข้ามาอีกแล้ว.. และกำลังจะผ่านพ้นไปอีกครั้ง

ความคาดหวังที่มีต่อพวกเขาในฟุตบอลโลกครั้งนี้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีก จากม้ามืดสู่ทีมเต็งที่จะเป็นแชมป์ เบลเยียมกลับไปอยู่ในบทบาทกึ่งๆ ม้ามืดอีกครั้ง

ไม่ถึงกับเป็นม้านอกสายตาหรอกครับ แต่ก็ไม่ใช่ทีมเต็งแชมป์อย่างเดิม ด้วยนักเตะสำคัญที่ร่วงโรยไปตามวัยและขาดการสานต่อที่ราบเรียบจากคลื่นลูกใหม่

รอยต่อตรงนี้แหละครับที่ทีมให้ยุคทองของหลายๆ ทีมสิ้นสุดลง เพราะนักเตะโกลเด้นเจเนอเรชั่นใช่ว่าจะเกิดขึ้นง่ายๆ ต่อให้คุณมีศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติที่สร้างนักเตะขึ้นมารุ่นต่อรุ่นก็เถอะ

บางทียุคทองหรือโกลเด้นเจเนอเรชั่นก็มีภาพด้านลบที่ตรงนี้ คือนักเตะในยุคนั้นเก่งเกินไปจนน้องรุ่นหลังไล่ไม่ทัน

ชื่อเดิมๆ หน้าเดิมๆ กับอายุที่มากขึ้น ถ้านับจากฟุตบอลโลก 2014 ที่สดมากๆ มันก็ผ่านมาแปดปีเข้าไปแล้วที่นักเตะใหม่ก้าวขึ้นมาแทนกันไม่ได้เลย

ฟุตบอลโลกครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของโกลเด้นเจเนอเรชั่นบางคน และเป็นทัวร์นาเม้นต์สุดท้ายก่อนจะเลยช่วงจุดสูงสุดของนักเตะอีกหลายๆ คน

ทุกๆ คนดูเหมือนจะพ้นช่วงที่ดีที่สุดที่ได้ร่วมงานกันไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะถ้าจะว่ากันตามผลงานในเวลานี้จริงๆ มีเพียง เดอบรอยน์ คนเดียวเท่านั้นที่ยังรักษามาตรฐานไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ

ยุคทองของเบลเยียมชุดอาซาร์ เดอบรอยน์ ลูกากู กูร์กตัวส์ นั้นมหัศจรรย์จริงๆ นะครับ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าทีมชุดนี้ดีเหลือเกิน ถ้าจะถึงฝั่งฝันเป็นแชมป์โลกมันก็ต้องขุนพลชุดนี้นี่แหละ

หากในทางกลับกัน ก็เพราะมันเป็นฟุตบอลโลกนั่นล่ะครับ เบลเยียมจึงยังต้องไล่ตามความฝันของตัวเองต่อไป เพราะแชมป์โลกมีได้แค่ทีมเดียวแต่ทีมที่มีศักยภาพเป็นแชมป์โลกได้นั้นมีหลายทีม

มันขึ้นอยู่กับว่าคุณ "คลิก" ได้ถูกเวลาไหม

เบลเยียมในฟุตบอลโลกครั้งนี้ยังคงน่าติดตามและอยู่ในข่ายลุ้นแชมป์เหมือนเดิม แม้จะไม่ได้รับความไว้วางใจอย่างเดิม จะพูดว่ามันเป็นเดิมพันครั้งสุดท้ายก็คงไม่ผิด

เดิมพันครั้งสุดท้ายของโกลเด้นเจเนอเรชั่นรอบนี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่ารอบใหม่จะมาถึงอีกทีเมื่อไหร่

เป็นเดิมพันครั้งสำคัญสำหรับพวกเขาและแน่นอนรวมไปถึงคนเป็นโค้ชอย่าง โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ ด้วย.. ความกดดันที่เขาต้องแบกรับนั้นมากขึ้นทุกทีๆ

เบลเยียมเลือกมาร์ติเนซเพราะหวังว่าฟุตบอลของกุนซือชาวสแปนิชจะช่วยเพิ่มมิติใหม่ๆ ให้กับทีมชาติ แม้จะมีเสียงคัดค้านและตั้งข้อสงสัยว่าอดีตนายใหญ่สวอนซี ซิตี้ วีแกน แอธเลติก และ เอฟเวอร์ตัน ใช่ตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดจริงหรือ

ผลงานจะให้คำตอบทุกอย่างด้วยตัวของมันเองครับ เวลางวดเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว

ยุคทองของเบลเยียมกำลังจะผ่านไปโดยไม่มีอะไรติดมือ.. มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport