"ฟุตซอลอาเซียนจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป" ประโยคนี้อาจดูเกินจริงไปบ้างในอดีต แต่หลังจากเสียงนกหวีดจบเกม ทีมชาติไทย พ่ายแพ้ต่อ อินโดนีเซีย ขาดลอย 1-6
มันคือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าบัลลังก์เบอร์ 1 ที่ไทยครองมาอย่างยาวนาน ถูกเขย่าจนหลุดลอยไปอยู่ในมือของทัพ "การูด้า" เรียบร้อยแล้ว
อะไรคือเบื้องหลังการผงาดของอินโดนีเซีย? ทำไมทีมที่เคยเป็นเพียง "ไม้ประดับ" ถึงบุกมาถล่ม "เจ้าภาพ" ถึงถิ่นในนัดชิงเหรียญทองซีเกมส์ ครั้งที่ 33? ติดตามพร้อมกันที่นี่
"Héctor Souto" : จิ๊กซอว์สเปนที่คลิกกับหัวใจอินโดนีเซีย
หากจะหาใครสักคนที่เปลี่ยน DNA ฟุตซอลอินโดนีเซียจาก "ทีมจอมวูบวาบแต่ขาดวินัย" ให้กลายเป็น "เครื่องจักรสังหาร" ชื่อของ เฮคเตอร์ ซูโต้ (Hector Souto) คือคำตอบนั้น
ซูโต้ ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับวงการโต๊ะเล็กอินโดนีเซีย เขาคือสถาปนิกผู้สร้างความยิ่งใหญ่ให้สโมสร Bintang Timur Surabaya (BTS) จนคว้าแชมป์ลีก 2 สมัย และแชมป์อาเซียนปี 2022
เมื่อเขาก้าวขึ้นมาคุมทีมชาติแทน มาร์กอส โซราโต้ ในเดือนสิงหาคม 2024 เขาเริ่มงานทันทีด้วยการติดตั้งระบบ "Modern Futsal" จนสมาพันธ์ฟุตซอลอินโดฯ (FFI) มั่นใจมอบสัญญายาวถึงปี 2028
"เป้าหมายหลักของแผนงานระยะยาวของผม คือการยกระดับคุณภาพผู้เล่นตั้งแต่เยาวชนจนถึงชุดใหญ่ รวมถึงเตรียมแท็กติกที่โตพอจะสู้กับทีมระดับอินเตอร์ได้" เฮคเตอร์ ซูโต้ กล่าวหลังรับหน้าที่กุนซือทัพพญาอินทรี
ลีกอาชีพที่แข็งแรงคือ "โรงงานผลิตนักเตะ"
เบื้องหลังพละกำลังที่ไม่มีหมดของแข้งอินโดนีเซียในนัดชิงซีเกมส์ คืออานิสงส์จาก Indonesia Pro Futsal League (PFL) ที่ได้รับการยกระดับอย่างต่อเนื่อง จนผลิตนักเตะอย่าง ฟีร์มาน อาเดรียนซยาห์ และ ซยากี ซาอัด ที่ทำประตูไทยในนัดชิงนี้ได้สำเร็จ
ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มาจากการวางโครงสร้างที่มั่นคงโดยคนทำงานที่มองเห็นภาพใหญ่
"สัญญาจ้างระยะยาวแบบนี้มันต่างจากเมื่อก่อนที่เราทำกันแบบปีต่อปี ด้วยผู้นำทีมที่นิ่งและมั่นคง เราหวังว่าผลงานทีมชาติจะพัฒนาต่อเนื่องจนไปแข่งในระดับโลกได้" ไมเคิล วิคเตอร์ เซียนิพาร์ ประธานสมาพันธ์ฟุตซอลอินโดนีเซีย (FFI) กล่าว
ยุคสมัยของ "Erick Thohir" และความกระหายชัยชนะ
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า "กระแสฟุตบอลฟีเวอร์" ในอินโดนีเซียภายใต้การนำของ เอริค ธอเฮียร์ ประธาน PSSI มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง เขานำความทะเยอทะยานมาสู่ทุกภาคส่วน จนอินโดนีเซีย คว้าแชมป์อาเซียน 2024 ที่โคราช และต่อยอดมาถึงทองซีเกมส์ครั้งนี้
ธอเฮียร์ เคยกล่าวไว้อย่างน่าสนใจตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่งประธานสมาคมฯ ซึ่งมันสะท้อนถึงความสำเร็จในวันนี้ได้เป็นอย่างดี
"ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ถ้าเราทำงานร่วมกัน วันนี้คือเวลาที่เราต้องพูดถึงเรื่องของ 'ความกล้า' (Guts) ผมขอโอกาสพิสูจน์ความกล้าของผมเพื่อฟุตบอลอินโดนีเซีย" เอริค ธอเฮียร์ กล่าว
เป้าหมายต่อไปของพวกเขาไม่ใช่แค่แชมป์อาเซียน แต่คือ เอเชียนคัพ 2026 และตั๋วฟุตซอลโลก 2028
ทีมชาติอินโดนีเซีย ในยุคของ เฮคเตอร์ ซูโต้ จะบินได้ไกลแค่ไหน คงต้องติดตามกันต่อไปในอนาคต