เปิดความลับความแข็งแกร่งทีมชาติเวียดนาม หลังคว้าแชมป์ซีเกมส์ 33 จากรากฐานศูนย์ฝึก PVF มาตรฐาน 3 ดาวหนึ่งเดียวในอาเซียน และระบบลีกเยาวชนที่ไทยยังตามหลัง
ทำไม เวียดนาม ถึงแข็งแกร่งจนคว้าแชมป์ซีเกมส์? ส่องความลับศูนย์ฝึก PVF มาตรฐานระดับเอเชีย และระบบลีกเยาวชนที่เข้มข้น รากฐานสำคัญที่ทำให้ทัพดาวทองก้าวข้ามระดับอาเซียนอย่างยั่งยืน
ความพ่ายแพ้ของ ทีมชาติไทย ต่อเวียดนามในนัดชิง ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ไม่ใช่แค่เรื่องของผลแพ้ชนะ แต่มันคือภาพสะท้อนของ "ช่องว่าง" เรื่องโครงสร้างที่นับวันยิ่งห่างออกไปทุกที
ในขณะที่ไทยยังคงวนเวียนอยู่กับความผิดหวัง เวียดนามกลับเก็บเกี่ยวผลผลิตจากความอดทน โดยมี PVF ศูนย์ฝึกมาตรฐาน 3 ดาวหนึ่งเดียวในอาเซียนเป็นหัวใจสำคัญ
อะไรคือเบื้องหลังที่ทำให้ “ทัพดาวทอง” แข็งแกร่งจนเราอาจไล่ไม่ทัน? ติดตามพร้อมกันที่นี่
PVF: สถาบัน 3 ดาว หนึ่งเดียวในภูมิภาค
ในขณะที่เราพูดถึงเป้าหมายบอลโลก เวียดนามลงมือทำด้วยการสร้างศูนย์ฝึก PVF (Promotion Fund of Vietnamese Football Talent) ที่เพิ่งได้รับการต่ออายุการรับรองมาตรฐาน "AFC Three-Star Academy" ซึ่งเป็นระดับสูงสุด (Premier Level) ของเอเชีย
ลองคิดดูเล่น ๆ ว่าในเอเชียมีศูนย์ฝึกระดับนี้เพียง 3 แห่งเท่านั้น คือ ชุนบุค ฮุนได (เกาหลีใต้), แอสไพร์ อะคาเดมี (กาตาร์) และ PVF (เวียดนาม) นี่คือเครื่องยืนยันว่ามาตรฐานของพวกเขาไม่ได้อยู่แค่ในระดับอาเซียน แต่อยู่ในระดับ "หัวแถว" ของทวีป
ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ บนเนื้อที่ในกรุงฮานอยที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี GPS, วิดีโอวิเคราะห์ และโดรนติดตามฟอร์ม โดยมี เอริค อับรามส์ ผู้อำนวยการเทคนิคผู้เคยปั้น "ยุคทอง" ของเบลเยียม คุมบังเหียนปรัชญาการสร้างนักเตะที่สมบูรณ์แบบทั้งฟุตบอล การศึกษา และวินัย
ระบบลีกเยาวชน เวทีบ่มเพาะความแข็งแกร่ง
ความสำเร็จของ PVF ไม่ได้เกิดในห้องซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการมี "ระบบแข่งขันเยาวชน" ที่เข้มข้นและต่อเนื่อง เวียดนามมีการจัดการแข่งขันชิงแชมป์แห่งชาติ (National Youth Championships) ตั้งแต่รุ่น U13, U15, U17 ไปจนถึง U21
นี่คือ "เวทีปล่อยของ" ที่ทำให้อะคาเดมี่ทั่วประเทศได้ปะทะฝีเท้ากันตลอดทั้งปี ตัวอย่างที่ชัดเจนคือทีม PVF U19 ที่เดินหน้ากวาดแชมป์ระดับประเทศมาครองได้สำเร็จ
การมีลีกเยาวชนที่แข็งแกร่งทำให้นักเตะมี "ชั่วโมงบิน" สูงตั้งแต่อายุยังน้อย ลดช่องว่างระหว่างฟุตบอลนักเรียนกับฟุตบอลอาชีพได้อย่างไร้รอยต่อ จนกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งผลถึงความสำเร็จในซีเกมส์ครั้งล่าสุด
บทเรียนจากความพ่ายแพ้สู่บันทึกหน้าประวัติศาสตร์
ย้อนกลับไปในปี 1991 นักเตะเวียดนามเดินทางไปแข่งขันฟุตบอลซีเกมส์ด้วยความยากลำบาก เหงียน วัน ดุง อดีตกองหน้าเล่าว่า "ตอนนั้นเราขาดแคลนทุกอย่าง ได้รองเท้าแค่คนละ 2 คู่ คู่หนึ่งไว้ซ้อม อีกคู่ไว้แข่ง"
แต่จากจุดนั้น พวกเขาใช้เวลา 30 ปีเปลี่ยนความแร้นแค้นเป็นความกระหาย ถึงขนาดที่ว่ากุนซือระดับโลกอย่าง เคลาดิโอ อูเบดา ที่เคยเห็นเด็กเวียดนามชุด U-20 ถึงกับเอ่ยปากชม ไว้ว่า
"นักเตะที่นี่ (เวียดนาม) มีเทคนิคดีมาก ดีมากจริง ๆ และพวกเขายังรวดเร็วอีกด้วย ฟุตบอลที่นี่มีอนาคตที่สดใสรออยู่"
และพวกเขาก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยการเป็นชาติเดียวในอาเซียนที่ไปลุย FIFA U-20 World Cup ได้สำเร็จ นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขารู้ว่ากำแพงระดับโลกไม่ได้สูงเกินเอื้อม
การลงทุนที่เริ่มผลิดอกออกผล
จากที่ HAGL Academy จับมือกับ อาร์เซน่อล มานานนับทศวรรษ สู่ความสำเร็จในยุค ปาร์ค ฮัง-ซอ และล่าสุดกับ คิม ซัง-ซิก ที่พาทีมคว้าแชมป์ ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 รวมถึง ASEAN Cup 2024 เหนือคู่ปรับอย่าง ทีมชาติไทย
"ถ้าคุณมีความอดทนที่จะเดินตามเส้นทางนี้ (การพัฒนาเยาวชน) รางวัลที่งดงามจะรออยู่ตรงหน้าเสมอ"
ทั้งหมดนี้คือผลพวงของ "ความอดทน" เหมือนที่ อัลเฟรด รีเดิล อดีตกุนซือเคยกล่าวไว้
ในขณะที่ ทีมชาติไทย ยังวนเวียนอยู่กับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เวียดนามกลับเลือกที่จะ "ขุดรากฐาน" ให้ลึกและแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค
หากวันนี้เรายังไม่หยุดชะล่าใจและเริ่มสร้างระบบที่ยั่งยืนอย่างเขา วันหนึ่งเราอาจจะทำได้เพียงแค่มองแผ่นหลังของ “ทัพดาวทอง” ที่กำลังจะบินไปไกลจนสุดสายตา