แย่จัง…ทำไมมันคล้ายโดนเธอทำร้ายตรงใจ! นี่คือเนื้อเพลง "ใจฉันตามเธอไป" ของ YOUNGOHM (ยังโอม) ที่บรรยายถึงความรู้สึกเหมือนถูกทำร้ายจิตใจ
เหมือนดั่งกับขุนพลลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่ล่าสุดก็ทำให้แฟนฟุตบอลชาวไทยหลายคนใจสลายลงไปในความมืดมน และก็คงจะหมองหม่นใช่หรือไม่?
ใช่ครับ… เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อต้นปี วันที่ 5 มกราคม 2568 ภาพความเจ็บปวดที่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ พ่ายเวียดนามคาบ้านจนชวดแชมป์อาเซียน คัพ ยังไม่ทันจางหายไปจากใจแฟนบอล
ใครจะเชื่อว่าหนังม้วนเดิมจะกลับมาฉายซ้ำในเวอร์ชันที่ "จุก" กว่าเดิม!!
19 ธันวาคม 2568 วันที่ควรจะเป็นวันฉลองชัยของทัพนักเตะไทยในศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 33 แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นวันที่บันทึกประวัติศาสตร์บาดแผลครั้งใหม่
ใช่ครับ ทีมชาติไทยของเราแพ้ เวียดนาม 2-3 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เหมือนกับทีมชุดใหญ่
แต่ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การชวดเหรียญทองธรรมดา แต่มันคือการ "ตอกย้ำ" วิกฤตศรัทธาจริงๆ นะครับ
อาถรรพ์ 4 สมัย เพราะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ "ช้างศึก" พลาดเหรียญทองซีเกมส์ติดต่อกันยาวนานที่สุด
และปราการด่านสุดท้ายที่พังทลายเป็นครั้งแรกในรอบ 58 ปีที่เราเสียแชมป์ซีเกมส์ในฐานะ "เจ้าภาพ"
คำถามที่ดังก้องไปทั่วสนามราชมังคลากีฬาสถานไม่ใช่แค่ "เราแพ้ได้อย่างไร?" แต่คือ เราไม่หวัง หรือเราไม่ไหวกันแน่?
ต้องยอมรับอย่างเต็มอกว่า ทีมชาติเวียดนาม ภายใต้การนำของ ”คิม ซัง-ซิก“ กุนซือชาวเกาหลีใต้ คือของจริง
ตลอดปี 2025 พวกเขาไม่ได้โตแค่รูปร่าง แต่โตทั้ง "ระบบ" และ "สมาธิ"
ในช่วงต้นเกม ไทยดูเหมือนจะถือไพ่เหนือกว่า ทะยานนำไปก่อนถึง 2-0 เสียงเชียร์กระหึ่มจนสนามแทบแตก แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือความ "เคี่ยว" ของเวียดนาม
พวกเขาโดนนำแต่ไม่ลนลาน เคาะบอลสู้ตามช่อง ใช้ความฟิตบดขยี้ และค่อยๆ กัดกินความมั่นใจของเด็กไทยจนเปื่อยยุ่ย
"ไทยคึกแค่ครึ่งแรก แต่สมาธิแตกหลังโดนตีไข่แตก" คือนิยามที่เจ็บปวดแต่จริงที่สุด กองหลังที่เคยว่าแน่นกลับมีช่องโหว่เป็นทุ่งหญ้า จังหวะการรับส่งบอลที่เคยแม่นยำกลับกลายเป็นความลนลานอย่างน่าประหลาด
หลังสิ้นเสียงนกหวีด "โค้ชวัง" ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ยืดอกน้อมรับทุกคำวิจารณ์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามถึงอนาคต?
การนำ 2-0 แล้วกลับมาแพ้ 2-3 ในนัดชิงชนะเลิศต่อหน้าแฟนบอล 17,376 คน คือโจทย์ใหญ่ที่สมาคมฟุตบอลฯ ต้องตอบให้ได้ว่า "ทางออก" หลังจากนี้คืออะไร
เรากำลังเดินหลงทางในระดับอาเซียน ในขณะที่เพื่อนบ้านกำลังก้าวข้ามเราไปทีละก้าวใช่หรือไม่?
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ต้องไม่เป็นเพียงแค่การ "ขอโทษ" แล้วจบไป การประชุมสรุปผลงานที่กำลังจะเกิดขึ้นต้องไม่ใช่แค่พิธีกรรม แต่มันคือการผ่าตัดด่วนก่อนลุยศึก ชิงแชมป์เอเชีย U23 ที่ซาอุดีอาระเบีย ในช่วงต้นปีหน้า ระหว่างวันที่ 6-24 มกราคม 2569
หากเรายังไม่สามารถเรียกความฟิต สมาธิ และจิตวิญญาณผู้ชนะกลับมาได้ เวทีระดับทวีปที่รออยู่อาจจะเป็นฝันร้ายที่หนักกว่าเดิม
วันนี้ต้องยอมรับว่า เวียดนามแกร่งจริง... แต่ที่น่ากลัวกว่าคือ ไทยเรายังดีไม่พอจริงๆ หรือ?
สุดท้ายแล้ว เสียงนกหวีดที่จบลงไป ไม่ได้พรากไปเพียงแค่เหรียญทอง แต่มันพรากความเชื่อมั่น ที่แฟนบอลมีให้ต่อคำว่าเบอร์หนึ่งอาเซียนไปจนหมดสิ้น
ภาพความดีใจที่นำ 2-0 กลายเป็นเพียงภาพลวงตาที่ตอกย้ำว่า เรากำลังหลับใหลอยู่บนความสำเร็จในอดีต… ในขณะที่เพื่อนบ้านกำลังวิ่งแซงเราไปในโลกของความจริง
ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องเลิกหาข้อแก้ตัว แล้วกลับมาถามตัวเองอย่างซื่อสัตย์ว่า เรายังเป็น ”ช้างศึก“ ที่น่าเกรงขาม หรือเป็นเพียงแค่ชื่อเสียงเก่าๆ ที่รอวันถูกลืม?
หากไม่อยากให้คำว่า “จ้าวอาเซียน” กลายเป็นเพียงตำนานที่เล่าให้ลูกหลานฟัง... ผมคิดว่าเราต้องหยุดหลอกตัวเอง และเริ่มสร้างศรัทธาขึ้นมาใหม่จากซากปรักหักพังของวันนี้เสียที
#กอล์ฟ เบนเทเก้