บทวิเคราะห์หลังทีมชาติไทยพ่ายเวียดนามนัดชิงซีเกมส์ 2025 Jackie ชี้ชัดปัญหาไม่ใช่ตัวบุคคล แต่คือระบบการเตรียมทีมที่ไม่พร้อม ตั้งแต่สมาคม สโมสร จนถึงโครงสร้างฟุตบอลไทยทั้งหมด
เมื่อวานให้ระบายกันไปแล้วนะครับ เรื่องบอลซีเกมส์
วิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่อย่าใช้อารมณ์ความรู้สึกเกินไป
ไม่งั้นมันจะไม่ได้อะไร ไม่สร้างสรรค์ และอาจกลายเป็นการทำลายกันเอง
อย่างน้อยผมมั่นใจว่า โค้ชวัง ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล รวมถึงน้องๆ นักเตะทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ ไม่มีใครอยากแพ้หรอก
มันมีเหตุผลของมันรองรับ
ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกมองและยอมรับในมุมไหนมากกว่า
แล้วคำถามสำคัญจริงๆ คือ…
อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เราได้แค่ “เหรียญเงิน”
---
ปัญหาเดิมที่ยังแก้ไม่ตก : การเตรียมทีม
ผมมองเรื่องนี้ในมุมของปัญหาเดิมๆ ของฟุตบอลไทย
นั่นคือ การเตรียมตัว การเตรียมทีมก่อนเข้าทัวร์นาเมนต์
พักหลังหนักขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งบอลอาเซียน คัพ เรายังเตรียมตัวกันแค่ 5 วันก่อนแข่งก็มี
ปัญหาทับซ้อนระหว่างโปรแกรมไทยลีกกับทีมชาติ
ไม่สามารถสอดประสานกันได้ลงตัว
เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของ “ทีมชาติไทย”
---
ย้อนอดีต : ซีเกมส์ เมียนมา 2013 กับบทเรียนสำคัญ
ถ้าย้อนกลับไปดูการเตรียมทีมก่อนซีเกมส์ เมียนมา 2013
ภายใต้ โค้ชซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
ในฐานะอดีตนักเตะทีมชาติไทย
โค้ชซิโก้รู้ “ปัญหาใหญ่” ดีว่าเรามักเตรียมตัวไม่ดี
ทั้งเรื่องการซ้อม การเดินทาง อาหาร และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
ยกตัวอย่างแค่เรื่องเดียว
การจองตั๋วเครื่องบินไปแข่งต่างประเทศ
บางรายการต้องใช้ตั๋วทรานซิต (ต่อเครื่อง) เพราะราคาถูก
ผลคือนักเตะทีมชาติต้องนอนในสนามบินกว่า 10 ชั่วโมง
แล้วแบบนี้จะไปสู้ใครเขาได้อย่างไร
---
เมื่อเข้าใจปัญหา และลงมือแก้จริง
เมื่อโค้ชซิโก้เข้ามา
เขาวิเคราะห์ปัญหา และ “ลงมือทำ” ทันที
ปิดจุดบอดทุกเรื่องที่เคยเจอ
ทั้งในฐานะนักเตะ และสตาฟฟ์โค้ชซีเกมส์ 2009
ที่เตรียมทีมเพียง 5–7 วัน และตกรอบแรกที่ สปป.ลาว
โค้ชซิโก้ใช้เวลาเป็นปี
เรียกนักเตะมาเก็บตัวเดือนละครั้ง
ขอสโมสรเบรกเกมเพื่อทีมชาติ
วางกรอบเวลาการเตรียมทีมอย่างชัดเจน
เป้าหมายคือ เหรียญทองซีเกมส์ ยู-23
และผลพลอยได้คือการสร้างทีมเลือดใหม่สู่ชุดใหญ่
ชนาธิป สรงกระสินธ์
ธนบูรณ์ เกษารัตน์
สารัช อยู่เย็น
จากทองซีเกมส์
ต่อยอดสู่ที่ 4 เอเชียนเกมส์ 2014
และแชมป์ Suzuki Cup 2014
มันได้ผล เพราะนักเตะเข้าใจระบบ เก๋าขึ้น และต่อยอดได้จริง
---
ไม่ได้เปรียบเทียบ แต่ต้องชี้ให้เห็น
การเขียนแบบนี้ ไม่ใช่การเปรียบเทียบโค้ชวัง
เพราะเขารับงานมาไม่นาน
แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า
การเตรียมทีมคือหัวใจของความสำเร็จ
ไม่ใช่แค่ให้โค้ชมาเลือกตัวแล้วลงแข่ง
แต่ต้องมี “เวลา” สำหรับการซ้อมและสร้างทีม
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
นักเตะต้องเล่นสโมสร
มาเล่นซีเกมส์
กลับไปเล่นสโมสร
แล้วกลับมาทีมชาติอีก
ต่อให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาคุมก็ไม่มีทางรอด
มันจบตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้ว
---
โปรแกรมโหด = ความล้า
กรอบเวลาแข่งขัน 3–18 ธันวาคม
รวม 15 วัน
เฉลี่ยแข่งทุก 4 วัน
แถมมีโปรแกรมแทรก
นักเตะต้องกลับไปเล่นสโมสรอีก
แบบนี้จะไม่ล้าได้อย่างไร
ยากมากที่จะเต็ม 100%
---
เวียดนามพร้อมกว่า คือความจริง
เขียนแบบนี้ไม่ใช่เพื่อแก้ตัวให้โค้ชวังหรือน้องๆ
แต่มันคือ ปัญหาเชิงระบบเรื่องการเตรียมทีม
ยิ่งเวียดนามเตรียมทีมมาพร้อมมาก
มันคือแรงบวกที่เขามีเหนือเรา
ยิ่งเล่นยิ่งล้า
ยังดีที่นำ 2-0 ก่อน
ไม่งั้นอาจแพ้ใน 90 นาทีไปแล้ว
---
ปัญหาที่ต้องแก้ ไม่ใช่หาคนรับผิดแทน
ปัญหานี้ต้องอาศัย
สมาคมฟุตบอล + สโมสรสมาชิก ร่วมมือกัน
แต่ความจริงวันนี้
สโมสรสมาชิก “ใหญ่” กว่าสมาคมมาก
ซีเกมส์ไม่ใช่ฟีฟ่าเดย์
เป็นบอล U-23
จะปล่อยหรือไม่ปล่อยนักเตะ ขึ้นกับสโมสร
สมาคมจึงกลายเป็นเหมือน “เสือกระดาษ”
---
บทสรุป
ฟุตบอลไทยแพ้เวียดนามในนัดชิงซีเกมส์
ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ การเตรียมทีมไม่พร้อม
นักเตะไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
จะเล่นตามแผนจนจบเกมได้
ส่วนปัญหารอง
โค้ชวัง ธวัชชัย ต้องรับผิดชอบในฐานะโค้ชใหญ่
เมื่อเกมนำ 2-0
ต้นครึ่งหลังโดน 2-1 จะจัดการอย่างไร
พอ 2-2 ในช่วงต่อเวลา จะเล่นแบบไหน
นี่คือเรื่องหน้างาน
---
สุดท้าย
กีฬาที่เล่นเป็นทีม
ไม่ใช่ความรับผิดของโค้ชหรือนักเตะเพียงอย่างเดียว
แต่คือทั้งระบบ
สมาคม สโมสร โค้ช นักเตะ
ทุกฝ่ายแพ้ร่วมกัน
อย่าหาแพะ
อย่า throw someone under the bus
เหรียญเงินซีเกมส์ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
แต่ถ้าเราเตรียมตัวดีกว่านี้
เหรียญทองก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม
นี่คือบทเรียนเดิมๆ
ที่ยังคงวนซ้ำ
หากไม่แก้ที่ “การเตรียมทีม”