90 นาทีบนเส้นแห่งความหวัง - ไทย vs มาเลเซีย

90 นาทีบนเส้นแห่งความหวัง - ไทย vs มาเลเซีย
ถ้า"ช้างศึก" ทีมชาติไทย อยากไปให้ถึงทองเกมนี้ต้องไม่ปล่อยให้ความกดดันเข้ามาครอบงำจนเกินไป

บางครั้ง ฟุตบอลก็ไม่ได้วัดกันที่ชื่อชั้นหรือสถิติที่ผ่านมา แต่วัดกันที่ว่าใครรับมือกับ 'ความกดดัน' ได้ดีกว่ากัน 

กับเกมรอบรองชนะเลิศ ซีเกมส์ 2025 ระหว่างทีมชาติไทย กับมาเลเซีย คือภาพสะท้อนของความจริงข้อนั้นอย่างชัดเจนที่สุด

ทัพเสือเหลืองแห่งมาลายาหาใช่ทีมไร้คุณภาพ พวกเขามีผู้เล่นที่ก้าวไปสัมผัสทีมชาติชุดใหญ่แล้วถึง 4 ราย ไม่ว่าจะเป็น อูไบดุลลอฮ์ ชัมซุล ฟาซิลี เซนเตอร์ฮาล์ฟตัวหลักของเตเรงกานู, อาลิฟ อิซวาน มิดฟิลด์ชั้นเชิงสูง, เฟอร์กัส เทียร์นี่ย์ ปีกลูกครึ่งสกอตแลนด์ และ ฮาคิมี อาซิม ศูนย์หน้าที่ถูกจับตามองในประเทศตัวเอง 

ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่ทีมเด็กใสๆ แต่คือทีมที่มีนักเตะโตเกินอายุในหลายตำแหน่ง

ยิ่งไปกว่านั้น ความทรงจำสดใหม่ยังอยู่ไม่ไกล เพราะเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มาเลเซีย เพิ่งแพ้ไทย 1-2 ในทัวร์นาเมนต์ยู-23 เอเชียน คัพ 2026 รอบคัดเลือก 

เกมนั้นสะท้อนให้เห็นว่าศักยภาพไม่ได้ห่างกันจนเล่นไม่ได้ หากทัพช้างศึกพลาดเพียงนิดเดียว เกมสามารถเปลี่ยนหน้าได้ทันที เพราะกว่าจะมาได้ประตูชัยจาก คคนะ คำยก ก็ต้องรอถึงช่วงทดเวลาการแข่งขันอีกต่างหาก

แม้ฟอร์มโดยรวมในปี 2025 ของทัพเสือเหลืองแห่งมาลายาจะดูไม่สวย ชนะเพียง 3 จาก 8 นัด และเพิ่งแพ้เวียดนาม 0-2 ในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม แต่รายละเอียดในเกมนั้นสำคัญมาก

ทีมดาวทองได้ประตูเร็ว จึงควบคุมจังหวะและปิดเกมได้ง่าย หากสกอร์ยังเสมอ ผลการแข่งขันอาจจะไหลไปอีกทางหนึ่งโดยสิ้นเชิง

สิ่งที่ทำให้มาเลเซีย น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่ฟอร์มการเล่น แต่คือสถานะ 'ทีมที่ไร้ความกดดัน' 

พวกเขาลงสนามในฐานะม้ามืด แพ้ไม่เสียหน้า ชนะคือกำไร ทุกการตัดสินใจในสนามจึงกล้ากว่า, เสี่ยงกว่าและอันตรายกว่า

ตรงกันข้าม ทีมชาติไทย แบกทุกอย่างไว้บนบ่า ทั้งความคาดหวังของแฟนฟุตบอล,  เสียงเชียร์ในราชมังคลากีฬาสถาน และประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เหรียญทองมาตั้งแต่ปี 2017 หรือ 4 ครั้งหลังสุดที่ต้องเดินออกจากสนามด้วยความเจ็บช้ำระกำทรวง 

เป้าหมายเดียวของเกมรอบรองชนะเลิศกับมาเลเซีย คือชนะเท่านั้น ไม่มีพื้นที่สำหรับคำว่าเกือบดี

การเป็นเจ้าภาพ เปรียบเสมือนดาบสองคม ไทย จำเป็นต้องเปิดเกมรุกใส่ในฐานะทีมที่เหนือกว่า หากได้ประตูเร็ว ทุกอย่างจะคลี่คลาย แต่ถ้าเกมยืดเยื้อ นาทีเดินไปเรื่อยๆ โดยสกอร์ยังไม่ขยับ ความกดดันจะถาโถมใส่ขุนพลช้างศึกแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนั่นคือช่วงเวลาที่คู่แข่งอย่างมาเลเซีย รอคอย

ยิ่งเมื่อทีมเสือเหลืองแห่งมาลายามีแนวรับที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิม โดยเฉพาะ อูไบดุลลอฮ์ ชัมซุล ฟาซิลี ที่อ่านเกมนิ่ง เก็บบอลแรกได้ดี และไม่ตื่นสนาม เกมนี้จึงไม่ใช่บททดสอบแค่เรื่องแท็กติก แต่คือบทสอบสภาพจิตใจของทีมชาติไทย อย่างแท้จริง

90 นาทีเท่ากัน แต่โจทย์ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ฝ่ายหนึ่งเล่นเพื่อโอกาส

อีกฝ่ายเล่นเพื่อปลดล็อกประวัติศาสตร์

เมื่อเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้น มีเพียงทีมเดียวเท่านั้น ที่จะได้เดินต่อไปบนเส้นทางล่าเหรียญทองที่รอคอยมานานเกือบ 10 ปี

เกมนี้ ไม่มีคำว่าทดลอง ไม่มีคำว่าพลาด และไม่มีพื้นที่ให้ความลังเลแม้แต่วินาทีเดียว

'โค้ชวัง' ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระะกูล หมุนเวียนผู้เล่นมาโดยตลอดใน 2 เกมแรก ซึ่งผลงานที่ออกมาก็ตอบทุกอย่างว่ามันไม่เวิร์กสักเท่าไหร่ เพราะกว่าที่ช้างศึกจะเริ่มโชว์ฟอร์มเก่ง ก็เป็นครึ่งหลังของทั้งแมตช์ถล่มติมอร์-เลสเต 6-1 และชนะสิงคโปร์ 3-0

ดังนั้นรอบรองชนะเลิศ ซีเกมส์ 2025 จึงเป็น 90 นาทีบนเส้นแห่งความหวัง ไทย vs มาเลเซีย ถ้าช้างศึกอยากไปให้ถึงทองเกมนี้ต้องไม่ปล่อยให้ความกดดันเข้ามาครอบงำจนเกินไป



ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport