ศึกลูกหนังชาย ซีเกมส์ 2025 ที่ไทยเจ้าภาพ ปรับฟอร์แมตใหม่ครั้งแรก แบ่ง 3 กลุ่ม ทีมเตะแค่ 4 นัด ลดโปรแกรมโหดวันเว้นวัน แต่แฟนบอลห่วงอาจเสียเสน่ห์เดิมที่เคยสร้างกระแสแน่นสนาม
เชื่อว่าสาวกลูกหนังทั้งหลายคงจะทราบกันไปแล้วว่า ฟุตบอลชายในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ที่กำลังจะอุบัติขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปจากเดิม
กล่าวคือ ซีเกมส์หลายๆครั้งที่ผ่านมานั้น ศึกชิงความเป็นเจ้าลูกหนังในมหกรรมกีฬาแห่งภูมิภาคอาเซียน จะแบ่งออกเป็น 2 สาย ในรอบแรกเตะแบบพบกันหมดภายในกลุ่ม แล้วคัดเอาอันดับ 1-2 ของแต่ละสาย มาไขว้เจอกันในรอบรองชนะเลิศ ทีมที่ชนะในรอบรองชนะเลิศก็จะมาดวลกันในรอบชิงชนะเลิศ ส่วนทีมที่แพ้ในรอบรองชนะเลิศ ก็จะต้องมาชิงเหรียญทองแดงกัน
ส่วนปีนี้ กำลังจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ฟุตบอลชายในซีเกมส์ จะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มในรอบแรก แล้วจะคัดเอาอันดับ 1 ของแต่ละกลุ่ม บวกกับอันดับ 2 ที่ดีที่สุดในบรรดา 3 กลุ่มอีก 1 ทีม(รวมเป็น 4 ทีม) ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ
เล่ามาถึงตรงนี้ เชื่อว่าคงมีแฟนบอลจำนวนไม่น้อย ที่รู้สึกสงสัยว่าเพราะเหตุใด ฟุตบอลชายในกีฬาซีเกมส์ ถึงต้องเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขัน
ต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลง มาจากการที่ฟุตบอลชายในซีเกมส์หลายๆครั้งที่ผ่านมา มีจำนวนแมตช์แข่งขันที่เยอะเกินไป อย่างในรอบแรกต้องเตะถึง 4-5นัด (กรณีที่ทีมร่วมกลุ่มมี 5 ทีมจะลงเตะ 4 นัด, แต่กรณีที่มีทีมร่วมกลุ่ม 6 ทีม จะต้องลงเตะถึง 5 นัด)
เท่านั้นยังไม่พอ ภาพที่แฟนบอลเห็นจนชินตาก็คือ ฟุตบอลชายในซีเกมส์ แต่ละทีมต้องเตะแบบวันเว้นวันอีกหาก
ลองนึกภาพตามดูว่า กว่าจะคว้าแชมป์ จะต้องเล่นถึง 6-7 นัด ประกอบด้วยรอบแรก 4 นัด(บางครั้งอาจจะ 5 นัดในกรณีที่รอบแรกอยู่ในกลุ่มที่มี 6 ทีม) รอบรองชนะเลิศกับรอบชิงชนะเลิศ เรียกได้ว่าเป็นโปรแกรมที่ค่อนค้างโหด ซึ่งแต่ละทีม สามารถส่งนักเตะร่วมฟาดแข้งได้เพียง 20 คนเท่านั้น
เรื่องนี้ อากิระ นิชิโนะ อดีตกุนซือทีมชาติญี่ปุ่น ที่เคยคุมทัพช้างศึกยู-23 ไปลุยศึกซีเกมส์ครั้งที่ 31 ที่ประเทศฟิลิปปินส์มาแล้วเมื่อปี 2019 เคยออกมาตำหนิถึงรูปแบบทัวร์นาเมนต์แบบนี้ว่า ไม่ต่างจากฟุตบอลระดับสมัครเล่นเลย ที่ให้นักเตะได้พักฟื้นหลังแข่งแค่วันเดียว แล้วอีกวันต้องเตะแมตช์ถัดไปทันที
และจากการเตะแบบวันเว้นวัน ยังส่งผลกระทบให้มีนักเตะจำนวนไม่น้อย ได้รับบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขันซีเกมส์ ส่งผลให้สโมสรต้นสังกัด ต่างเดือดร้อนไปตามๆกัน
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ซีเกมส์ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จะเป็นซีเกมส์หนแรกที่ใช้ระบบการแข่งขันใหม่มาแก้ปัญหานี้ ด้วยการแบ่งทีมออกเป็น 3 กลุ่มในรอบแรก เพื่อลดจำนวนแมตช์ให้น้อยลง และจะไม่เตะถี่แบบวันเว้นวันอีกแล้ว
ซึ่งฟอร์แมตการแข่งขันแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เนื่องจากสหพันธ์ฟุตบอลแห่งอาเซียน(AFF) นำมาใช้ได้สักพักแล้ว ในการแข่งขันชิงแชมป์อาเซียนทุกรุ่นอายุ ยกเว้นชุดใหญ่ ที่ยังคงยึดการเตะรอบแรกแบบ 2 กลุ่มเหมือนเดิม
และจากการที่ ติมอร์-เลสเต กับ บรูไน ได้ถอนทีม ทำให้ฟุตบอลชายในซีเกมส์ครั้งที่ 33 จะเหลือแค่ 9 ทีมเท่านั้น เท่ากับว่ารอบแรกที่จะแบ่งทีมที่ร่วมแข่งขันออกเป็น 3 กลุ่ม จะมีกลุ่มละ 3 ทีมพอดี
นั่นหมายความว่า ทีมที่จะคว้าแชมป์ จะลงเตะแค่ 4 นัดเท่านั้น ประกอบด้วยรอบแรก 2 นัด รอบรองชนะเลิศกับรอบชิงชนะเลิศอีกรอบละ 1 เท่านั้น ซึ่งโปรแกรมเตะ นับว่าน้อยกว่ารูปแบบเดิมเกือบเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองอีกแง่ การเตะในรูปแบบใหม่ แม้จะช่วยให้นักเตะได้พักมากขึ้น แต่เสน่ห์เดิมๆของฟุตบอลชายในกีฬาซีเกมส์อาจหายไป ที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกครั้งที่ฟุตบอลไทยลงสนามในซีเกมส์ โดยเฉพาะครั้งที่เราเป็นเจ้าภาพ มักจะเรียกกระแสจากแฟนกีฬาได้เยอะ
ยิ่งลงเตะถี่แบบวันเว้นวัน ก็ยิ่งเป็นการสร้างกระแสอย่างต่อเนื่อง จนมีแฟนบอลเข้ามาเชียร์จนแน่นสนามทุกแมตช์ที่ทัพช้างศึกลงฟาดแข้ง ดูได้จากซีเกมส์ครั้งที่ 18 ที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพเมื่อปี 1995 หรือซีเกมส์ครั้งที่ 24 ที่จังหวัดนครรราชสีมาเมื่อปี 2007 ซึ่งเกิดปรากฏการณ์สนามแตกมาแล้ว
ทั้งนี้ หลังจบซีเกมส์ครั้งที่ 33 ทางสหพันธ์ฟุตบอลแห่งอาเซียน(AFF) และชาติสมาชิก จะมีการประเมินอีกครั้งว่าฟอร์แมตฟุตบอลชายแบบใหม่ที่รอบแรกแบ่งทีมออกเป็น 3 กลุ่ม โดยภาพรวมมันเวิร์คหรือไม่ ถ้าหลายฝ่ายพอใจ ซีเกมส์ครั้งถัดไปก็คงยึดรูปแบบนี้ แต่ถ้าไม่โอเค ก็อาจจะกลับมาเตะเหมือนเดิมอีกก็เป็นได้