รัชพล มรรคศศิธร นักแบดมินตันคู่ผสมไทย โพสต์เดือดสวนกลับสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รอบสอง ยืนยันการคัดตัวซีเกมส์ไร้ความโปร่งใส ชี้ดุลยพินิจมีผลเหนือผลงาน พร้อมประกาศจบเรื่องและหวังเป็นบทเรียน
จากกรณีที่ สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ ออกประกาศชี้แจงกรณี นายรัชพล มรรคศศิธร นักกีฬาแบดมินตันร้องเรียนผ่านโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับรายชื่อนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยให้เหตุผลว่าการคัดเลือกเป็นไปตามกฎเกณฑ์ใหม่และเพื่อผลงานที่ดีที่สุดของทีม ล่าสุดเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านของวันเสาร์ที่ 20 ก.ย.68 "มิกซ์" รัชพล มรรคศศิธร นักแบดมินตันประเภทคู่ผสม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว อีกครั้ง โดยมีใจความว่า ขออนุญาตใช้โพสต์นี้เป็นโพสต์สุดท้ายครับ
1. ตามที่สมาคมได้ออกมาชี้แจงต่อสาธารณะ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า วิธีการทำงาน แนวคิด และการสื่อสารของสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย สะท้อนถึงทัศนคติและกระบวนการตัดสินใจที่หลายคนเองก็คงพอจะเห็นภาพว่าเป็นอย่างไร แม้จะเป็นเพียงบางส่วนที่ถูกเปิดเผยผ่านสื่อ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ถูกพูดถึง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจในลักษณะที่น่ากังวล และ ในวงการนั้นรู้ดี
2. ผมยอมรับว่า การเลือกนักกีฬาไปแข่งขัน ต้องเลือกคนที่ดีที่สุดในแต่ละประเภท ซึ่งในหลักการ ผมเห็นด้วยครับ แต่ในรายละเอียดของการชี้แจงนั้น ข้อมูลที่สมาคมนำเสนอ ไม่ได้ครอบคลุมหรือครบถ้วนกับนักกีฬาทุกคนทุกประเภท โดยเฉพาะการอ้างถึงว่าคู่ของผมตกรอบในรายการต่างๆ ซึ่งเป็นความจริงครับ แต่สมาคมกลับไม่ได้พูดถึงนักกีฬาบางคนที่ถูกเลือกไป ทั้งที่ไม่มีคู่ ไม่มีอันดับโลก ไม่มีแชมป์ประเทศไทย และไม่ได้มีผลงานในการแข่งขันรายการใดๆ นี่คือสิ่งที่ขาดความโปร่งใสและความเป็นธรรม ขนาดท่านชี้แจงยังไม่เป็นธรรมเป็นกลางเลยครับ
3. ในส่วนที่ท่านพิจาราณาให้รายชื่อคนที่ 10 ไปเป็นตัวเลือก ในกรณีจะสลับเปลี่ยนไปเล่นชายคู่ ในเรื่องนี้ ท่านไม่ต้องพิจารณารายชื่อผมก็ได้ครับ แต่ทำไม ชายคู่ แชมป์ประเทศไทย ทำไมไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจาราณาด้วย หรือ เป็นผู้เล่นชายคู่ที่เป็นคู่แท้ที่ลงแข่งขันในปัจจุบันจริงๆ จากการที่ผมได้ติดตามกระบวนการพิจารณาคัดเลือกนักกีฬา ผมมีความเข้าใจว่าเกณฑ์ที่ควรนำมาประกอบการตัดสินใจ ได้แก่
1. นักกีฬาที่มีผลงานดีที่สุด
2. นักกีฬาที่มีฟอร์มปัจจุบันดีที่สุด
3. นักกีฬาที่ตรงตามหลักเกณฑ์มากที่สุด
4. นักกีฬาที่โค้ชเห็นว่าเหมาะสมที่สุด (ตามดุลพินิจ)
เมื่อพิจารณาตามลำดับนี้ จะเห็นว่าการใช้ดุลพินิจในข้อ 4 ควรเป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อมีกรณีที่คะแนนหรือผลงานไม่แตกต่างกันอย่างชัดเจน จึงจะนำความคิดเห็นส่วนตัวของโค้ชมาประกอบการตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
แต่ในกรณีนี้ ผมสังเกตว่ามีการนำ “ดุลพินิจ” ขึ้นมาใช้ก่อนพิจารณาจากหลักเกณฑ์ข้ออื่นๆ ส่งผลให้บางคนที่ไม่ได้อยู่ในหลักเกณฑ์หรือมีผลงานด้อยกว่า ได้รับการคัดเลือกก่อนผู้ที่มีผลงานตรงตามเกณฑ์มากกว่า ซึ่งในมุมมองของผม ถือว่าเป็นการพิจารณาที่ขาดความเป็นธรรม และอาจสร้างความเสียหายต่อขวัญกำลังใจของนักกีฬา
ผมเข้าใจว่าโค้ชมีหน้าที่ตัดสินใจอย่างรอบด้าน แต่หากจะใช้อำนาจในการเลือก ควรมีเหตุผลและหลักฐานประกอบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปรียบเทียบผลงาน เช่น รายการที่ลงแข่ง อันดับโลก หรือฟอร์มปัจจุบัน ซึ่งหากเทียบกันแล้วมีความใกล้เคียงหรือเท่ากัน จึงควรใช้ดุลพินิจเข้ามาตัดสินในลำดับสุดท้าย
สุดท้ายนี้ ผมอยากให้ท่านรับทราบว่า การตัดสินใจของท่าน ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจ ความรู้สึก และความฝันของเด็กคนหนึ่งอย่างมาก และไม่ใช่เพียงแค่ตัวผมเท่านั้น แต่รวมถึงเยาวชนและผู้ปกครองอีกหลายคน ที่กำลังมีความหวังและแรงบันดาลใจในกีฬาแบดมินตัน
วันนี้ ท่านอาจไม่ได้เพียงแค่ “คัดคนไม่ได้ไปแข่ง” แต่ท่านได้ “ทำลายความหวัง” ของหลายชีวิตในวงการนี้อย่างแท้จริง
ขอให้เรื่องนี้เป็นบทเรียน และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเพื่อความยุติธรรมในวงการกีฬาไทยต่อไปครับ
ขอขอบคุณทุกๆท่าน ที่ให้กำลังใจครับ