ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. เผย เตรียมใช้สนามกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยสนามต่างๆ เช่น สระว่ายน้ำ และ เอ็กซ์ตรีม ที่ได้มีการปรับปรุง จนอยู่ในระดับมาตรฐานสากล พร้อมผลักดันอย่างเต็มที่ให้มีการจัดการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด
ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยถึงทิศทางการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานภายหลังเสร็จสิ้นมหกรรมกีฬา ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (ระหว่างวันที่ 9-20 ธันวาคม 2568) โดยยืนยันว่าประเทศไทยพร้อมใช้ประโยชน์จากสนามแข่งขันและฝึกซ้อมกว่า 80 แห่งให้เกิดความคุ้มค่าและยั่งยืนสูงสุด
จากการที่ประเทศไทยรับหน้าที่เจ้าภาพในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างบุคลากรทางการกีฬาและกระตุ้นเศรษฐกิจระดับหมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่ยังทิ้งมรดกสำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานที่ผ่านการปรับปรุงจนได้มาตรฐานสากล อาทิ ราชมังคลากีฬาสถาน, สระว่ายน้ำ กกท., สนามเอ็กซ์ตรีม, สนามปีนหน้าผา และ สนามสเก็ตบอร์ด ภายในพื้นที่ กกท. ซึ่งรวมไปถึงอุปกรณ์การแข่งขันใหม่ทั้งหมดที่ได้รับการสนับสนุน
“สนามแข่งขัน ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 คือภาพใหญ่ของการยกระดับมาตรฐานกีฬาไทย อุปกรณ์และสถานที่ที่มีสัญลักษณ์ซีเกมส์ล้วนเป็นการเพิ่มมูลค่าในตัวเอง โดยเฉพาะ สนามเอ็กซ์ตรีม และ สระว่ายน้ำ ที่ปรับปรุงใหม่ ซึ่ง กกท. พร้อมผลักดันให้สมาคมกีฬาต่างๆ นำไปใช้จัดรายการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและนานาชาติอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด” ดร.ก้องศักด กล่าว
นอกจากนี้ ผู้ว่าการ กกท. ยังระบุว่าการเป็นเจ้าภาพของไทยถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการกีฬาอาเซียน โดยเน้นบรรจุกีฬาสากลเพื่อคืนมนต์ขลังให้กับการแข่งขัน และลดการจัดกีฬาพื้นบ้านเพื่อหวังเหรียญทอง ซึ่งแนวทางนี้จะถูกส่งต่อประสานไปยังเจ้าภาพครั้งถัดไปอย่าง ประเทศมาเลเซีย (ปี 2570) และ ประเทศสิงคโปร์ (ปี 2572) เพื่อให้เวที ซีเกมส์ เป็นบันไดสำคัญในการพัฒนานักกีฬาสู่อันดับโลกทั้งในศึก เอเชียนเกมส์ และ โอลิมปิกเกมส์ ต่อไป

