บอร์ดกองทุนฯไฟเขียวงบ490ล้านเตรียมทัพไทยสู้3มหกรรมกีฬาใหญ่ปี2023

บอร์ดกองทุนกีฬาอนุมัติงบประมาณกว่า 490 ล้านบาท ให้สมาคมกีฬาของไทย นำไปใช้ในการเก็บตัวฝึกซ้อมนักกีฬา ลุย 3 มหกรรมกีฬาใหญ่ ที่จะมีขึ้นในปีหน้า ทั้ง ซีเกมส์, เอเชียนเกมส์ และศึกเอเชียนอินดอร์ฯ พร้อมจี้สมาคมกีฬา เร่งส่งเอกสารการเบิกจ่าย เพื่อจะได้รับเงินไปเตรียมนักกีฬาของตัวเองโดยด่วน

ความเคลื่อนไหวของนักกีฬาทีมชาติไทย ในการเตรียมความพร้อมเข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาใหญ่ที่จะมีขึ้นในปี 2023 ซึ่งประกอบด้วย การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 5-17 พ.ค.2566, การแข่งขันกีฬากีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 23 ก.ย.-8 ต.ค.2566 และการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชียลอาร์ตเกมส์ ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 17-26 พ.ย.2566 ที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดชลบุรี ร่วมกันเป็นเจ้าภาพนั้น

ล่าสุด นายวินัย ทองรัตน์ กรรมการบริหาร กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (บอร์ด กองทุนกีฬา) และนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดพังงา เปิดเผยว่า ขณะนี้ บอร์ด กองทุนฯ ที่มี "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีการอนุมัติงบประมาณที่จะใช้ในการเก็บตัวฝึกซ้อมของนักกีฬาทีมชาติไทย รวมทั้ง 3 มหกรรมกีฬา ประมาณ 490 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้สมาคมกีฬาต่างๆ ที่จะส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันได้นำไปใช้เตรียมความพร้อมนักกีฬาไทย เพื่อเดินหน้าไปสู้เป้าหมายเหรียญทองที่ตั้งไว้ โดยขั้นตอนต่อไป ฝ่ายพัฒนากีฬาเป็นเลิศ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) จะแจ้งให้กับสมาคมกีฬาต่างๆ เพื่อเตรียมเอกสารที่จะมาขอเบิกจ่ายงบประมาณกับทางคลังกองทุนของ กกท. ซึ่งเรื่องนี้ทางกองทุนฯ เอง ก็อยากให้แต่ละสมาคมกีฬา เร่งส่งเอกสารมาโดยด่วน เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในการเตรียมนักกีฬาอีกต่อไป

ขณะที่ ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เผยด้วยว่า ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากทางสมาคมกีฬาต่างๆ เลย ซึ่งทาง กองทุนฯ จะรีบทำหนังสือประสานไปยัง ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. เพื่อให้ฝ่ายที่รับผิดชอบ กระตุ้นไปยังสมาคมกีฬาให้เกิดความตื่นตัว รีบส่งเอกสารเบิกจ่ายงบประมาณ ทั้งนี้ ก็เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เพราะว่าบอร์ดกองทุนกีฬา ได้อนุมัติงบประมาณดังกล่าวไปตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา จึงอยากให้สมาคมกีฬา รีบดำเนินการโดยเร่งด่วนต่อไป



ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport