หากนับจากวันนี้ ก็เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึง 10 วันแล้ว การแข่งขันสนุกเกอร์คู่ผสมชิงแชมป์โลก หรือเวิลด์มิกซ์ดับเบิล 2022 ก็จะเริ่มขึ้น
อดีตที่ผ่านมา การแข่งขันคู่ผสม ที่ให้นักสนุกเกอร์ชายและหญิงจับคู่เป็นทีมเดียวกัน เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในช่วงยุค 90 ต้นๆ
ถ้าใครเป็นแฟนสนุกเกอร์รุ่นเดอะ คงจะพอจำกันได้ กับบรรยากาศดวลคิวกันอย่างถึงพริกถึงขิง ในศึกคู่ผสมชิงแชมป์โลกครั้งที่ 1 เมื่อปี 1991 รอบชิงชนะเลิศ
ณ เวลานั้น สตีฟ เดวิส ที่จับคู่ อลิสสัน ฟิชเชอร์ ตำนานสอยคิวสตรีเพศ ที่เรืองอำนาจมากที่สุดในยุคนั้น เป็นฝ่ายคว้าแชมป์ไปครอง หลังเฉือนคู่ของ สตีเฟ่น เฮนดรี้ ตำนานสอยคิวชาวสกอต ที่จับคู่กับ สเตซี่ ฮิลล์ยาร์ด ไปด้วยสกอร์ที่ระทึก 5-4 เฟรม ในการแข่งขันที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี เมื่อราวๆ 31 ปีก่อน
อย่างไรก็ตาม นับจากนั้น ศึกสอยคิวประเภทคู่ผสมเริ่มถูกจัดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนหายไปจากสารบบการแข่งขันสนุกเกอร์
กระทั่งในฤดูกาลนี้ เวิลด์สนุกเกอร์ทัวร์(WST) ได้นำศึกสอยคิวคู่ผสมชิงแชมป์โลก มาปัดฝุ่นจัดการแข่งขันอีกครั้ง
โดยให้นักสอยคิวชายและหญิง ที่อยู่ในอันดับท็อป 4 ของแต่ละฝ่าย มาจับสลากหาคู่ร่วมทีมกัน เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา
ปรากฏว่า “มิ้งค์ สระบุรี” ณัชชารัตน์ วงศ์หฤทัย นักสอยคิวสาวไทย เจ้าของแชมป์โลกหญิงคนล่าสุด ที่รั้งอันดับ 3 ของโลกหญิง ถูกจับให้มาร่วมทีมกับ "จิงโจ้มหาประลัย" นีล โรเบิร์ตสัน มือ 4 ของโลกจากออสเตรีเลีย ดีกรีแชมป์โลกเมื่อปี 2010
ส่วนคู่อื่นมีดังนี้ รอนนี่ โอซัลลิแวน มือ 1 ของโลกจากอังกฤษ จับคู่ เรียนน์ อีแวนส์ มือ 1 ของโลกหญิงจากอังกฤษ, จัดด์ ทรัมป์ มือ 2 ของโลกจากอังกฤษ จับคู่กับ อึ้ง ออน ยี มือ 2 ของโลกหญิงจากฮ่องกง และ มาร์ค เซลบี้ มือ 3 ของโลกจากอังกฤษ จับคู่กับ รีเบคก้า เคนน่า มือ 4 ของโลกหญิงจากอังกฤษ
การแข่งขันจะมีขึ้นที่มาร์แชลอารีน่า เมืองมิลตันคีนส์ ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 24-25 กันยายนนี้
ล่าสุด เวิลด์สนุกเกอร์ทัวร์ ได้เผยกฎกติกาปลีกย่อยของการแข่งขันรายการนี้ออกมาเป็นที่เรียบร้อย ผ่านเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งมีกติกาที่น่าสนใจดังนี้
นักสอยคิวภายในทีมเดียวกัน จะสลับกันแทงคนละเบรก สามารถพูดคุยปรึกษากันได้ แต่ทำได้เฉพาะถึงคิวทีมตัวเองแทงเท่านั้น ในระหว่างที่คู่แข่งกำลังแทง ไม่สามารถทำได้
ในรอบแรกทั้ง 4 ทีมจะแข่งขันแบบพบกันหมด ในระบบ 4 เฟรม จำนวนเฟรมที่ได้ในรอบนี้คือคะแนน
แล้วหา 2 ทีมที่มีคะแนนดีที่สุดเข้าไปแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศต่อไป ซึ่งจะดวลคิวในระบบ 4 ใน 7 เฟรม
หากแข่งในรอบแรกครบหมดทุกทีมแล้ว ปรากฏว่ามีทีมที่คะแนนเท่ากัน 2, 3 หรือ 4 ทีม จะเรียงลำดับกันด้วยเบรกสูงสุด นักกีฬาของทีมใดทำเบรกได้มากกว่า ก็จะมีอันดับเหนือกว่า
แต่หากในกรณีที่นักกีฬาของทั้ง 2 ทีมทำเบรกได้เท่ากัน ก็จะไปตัดสินกันที่เบรกสูงสุดของนักกีฬาอีกคนภายในทีม
- ถิรพัฒน์ ณ ลำปาง -