เจ.เจ. สปอน (J.J. Spaun) โปรกอล์ฟหนุ่มชาวอเมริกันจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ผงาดคว้าแชมป์เมเจอร์รายการแรกในชีวิต หลังเร่งเครื่องทำเบอร์ดี้ในสองหลุมสุดท้าย โดยเฉพาะพัตต์ไกลระยะ 65 ฟุตที่หลุม 18 คว้าแชมป์กอล์ฟเมเจอร์ที่ 3 ของปี “ยูเอส โอเพ่น ครั้งที่ 125” ด้วยสกอร์รวม 1 อันเดอร์พาร์ 279 เหนืออันดับสอง 2 สโตรก
การแข่งขันกอล์ฟเมเจอร์ที่สามของปี “ยูเอส โอเพ่น ครั้งที่ 125” ชิงเงินรางวัลรวม 21.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 788 ล้านบาท ที่สนามโอ๊คมอนต์ คันทรี คลับ พาร์ 70 รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงเช้ามืดวันจันทร์ที่ 16 มิ.ย.68 ที่ผ่านมา ซึ่งในวันสุดท้ายของการแข่งขัน ต้องหยุดชะงักชั่วคราวในช่วงบ่าย เนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยและสนามไม่พร้อม ต้องหยุดการแข่งขันออกไปประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ก่อนจะกลับมาแข่งขันต่อได้ในช่วงเย็นตามเวลาท้องถิ่น
โดย เจ.เจ. สปอน วัย 34 ปี ออกสตาร์ต วันสุดท้ายด้วยการตามหลังผู้นำหนึ่งสโตรก แม้จะพลาดเสียถึง 5 โบกี้ใน 6 หลุมแรก แต่เขาก็สามารถกลับมาทำเบอร์ดี้ที่หลุม 12 และ 14 แม้จะเสียอีกหนึ่งโบกี้ในหลุม 15 แต่ยังสามารถทำเบอร์ดี้ในหลุม 17 จากระยะ 18 ฟุต และจบวันด้วยพัตต์ระยะ 65 ฟุตในหลุมสุดท้าย คว้าแชมป์ยูเอส โอเพ่น สมัยแรกในชีวิตได้สำเร็จ นับเป็นการลงเล่นรายการนี้เพียงครั้งที่สองของเขา โดยก่อนหน้านี้เคยร่วมแข่งขันที่สนามทอรีย์ ไพนส์ กอล์ฟ คอร์ส (เซาท์ คอร์ส) รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 2021 พร้อมรับเงินราวัลไป 4.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 157.6 ล้านบาท
หลังคว้าแชมป์ สปอน เปิดเผยว่า “ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมาคว้าแชมป์ที่นี่ ผมเคยมีแรงบันดาลใจและความฝันว่าจะทำได้ ผมไม่รู้ว่าจะเรียกตัวเองว่าอะไร ผมเพียงแค่พยายามเป็นนักกอล์ฟที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ แล้วในช่วงที่การแข่งขันหยุดไปเพราะสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย บรรยากาศในสนามก็เปลี่ยนไปด้วย ที่หลุม 18 ผมไม่ได้ดูสกอร์บอร์ดเลย ได้ยินแต่เสียงแฟน ๆ ดังกระหึ่ม ผมก็แค่บอกกับตัวเองว่าถ้าทำสองพัตต์ก็อาจชนะ แต่ผมไม่ต้องการให้มันจบแบบนั้น ผมไม่อยากเล่นแบบเซฟ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมนำอยู่สองสโตรก ผมแค่พยายามไม่ให้ทำสามพัตต์ และต้องยอมรับว่าวิคเตอร์ (ฮอฟลันด์) ช่วยผมได้เยอะ เพราะไลน์พัตต์ของเขาใกล้เคียงกับผม ซึ่งมันคล้ายกับตอนที่ผมคว้าแชมป์แรกในพีจีเอทัวร์ที่รายการเท็กซัส โอเพ่น ตอนนั้น สก็อตต์ สตอลลิงส์ พลาดตกบังเกอร์ในหลุมสุดท้าย และผมได้ไลน์พัตต์จากเขาซึ่งอยู่ระยะ 40 ฟุต มันคล้ายกันมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้”
สำหรับ เจ.เจ. สปอน กลายเป็นนักกอล์ฟคนที่สามในประวัติศาสตร์ที่จบอันดับหนึ่งหรือสองในรายการ “เดอะ เพลเยอร์ส แชมเปียนชิพ” และสามารถคว้าแชมป์ยูเอส โอเพ่น ได้ในปีเดียวกัน ต่อจาก ไทเกอร์ วูดส์ (จบอันดับสองในเดอะ เพลเยอร์ส ปี 2000 และคว้าแชมป์ยูเอส โอเพ่น ที่เพบเบิลบีชด้วยผลต่าง 15 สโตรก) และมาร์ติน คายเมอร์ (คว้าแชมป์ทั้งสองรายการในปี 2014 ที่ไพน์เฮิร์ส)
โรเบิร์ต แม็คอินไทร์ โปรหนุ่มจากสกอตแลนด์ ทำ 4 เบอร์ดี้ เสีย 2 โบกี้ จบวันด้วยสกอร์ 2 อันเดอร์พาร์ 68 รวม 1 โอเวอร์พาร์ 281 จบรองแชมป์ไปครอง ถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเขาในรายการระดับเมเจอร์ พร้อมรับเงินรางวัล 2.322 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 75.3 ล้านบาท และอันดับ 3 วิคเตอร์ ฮอฟลันด์ จากนอร์เวย์รวม 2 โอเวอร์พาร์ 282
ส่วน อันดับ 4 ร่วม ได้แก่ แคเมรอน ยัง จากสหรัฐฯ (70), ไทเรลล์ แฮตตัน จากอังกฤษ (72) และการ์ลอส ออร์ตีซ จากเม็กซิโก (73) โดยมีสกอร์รวม 3 โอเวอร์พาร์ 283 ขณะที่จอน ราห์ม โปรจากสเปน แชมป์ยูเอส โอเพ่น ปี 2021 และแชมป์เดอะ มาสเตอร์ส ปี 2023 จบอันดับ 7 ร่วม หลังทำ 3 อันเดอร์พาร์ 67 รวม 4 โอเวอร์พาร์ 284 เท่ากับ สกอตตี เชฟเฟลอร์ มือ 1 ของโลกจากสหรัฐฯ (70) และแซม เบิร์นส์ ผู้นำรอบสองและสาม (71) บรูคส์ เคปกา โปรชาวอเมริกันเจ้าของแชมป์ยูเอส โอเพ่น 2 สมัย (ปี 2017–2018) ทำ 1 โอเวอร์พาร์ 71 รวม 6 โอเวอร์พาร์ 286 จบอันดับ 12 ร่วมกับนักกอล์ฟอีก 6 คน รวมถึง ซานเดอร์ เชาเฟอเลอ (69) และอดัม สกอตต์ จากออสเตรเลีย แชมป์เดอะ มาสเตอร์ส ปี 2013 ซึ่งทำ 79 จบที่ 9 โอเวอร์พาร์ 289 เช่นเดียวกับ แมทธิว ฟิตซ์แพทริก จากอังกฤษ แชมป์ปี 2022 ที่จบด้วย 11 โอเวอร์พาร์ 291